รู้ได้อย่างไรว่าอ้วน?

ที่มา : มูลนิธิหมอชาวบ้าน


รู้ได้อย่างไรว่าอ้วน? thaihealth


แฟ้มภาพ


รู้ได้อย่างไรว่าร่างกาย " อ้วน " หรือ  " ผอม  "ตามหลักทางการแพทย์ มีวิธีการพิสูจน์ง่ายๆ 3 วิธีคือ เปรียบเทียบความสูงกับน้ำหนักตัวโดยเฉลี่ย หาค่าดัชนีมวลกาย และการวัดเส้นรอบเอว


1.เปรียบเทียบความน้ำหนักตัวโดยเฉลี่ยสูงกับการเปรียบเทียบความสูงกับน้ำหนักตัวเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด


ผู้ชาย  น้ำหนักตัวที่เหมาะสม = ความสูง (เซนติเมตร) ลบ  100 

เช่น ผู้ชายที่สูง 170  เซนติเมตร (ซม.) เมื่อนำมาลบด้วย 100 จะได้ผลลัพธ์  70   ตัวเลข  70   คือ น้ำหนักตัวที่เหมาะสม

ผู้หญิง น้ำหนักตัวที่เหมาะสม = ความสูง (ซม.) ลบ 110 

เช่น ผู้หญิงที่มีส่วนสูง 160 ซม. เมื่อนำมาลบ ด้วย 110 จะได้ผลลัพธ์ 50 ตัวเลข 50 คือน้ำหนักตัวที่เหมาะสม


2. หาค่าดัชนีมวลกาย (body mass index-BMI) มีวิธีคำนวณได้ดังนี้


ดัชนีมวลกาย = น้ำหนักเป็นกิโลกรัม (กก.) หาร ความสูงเป็นเมตร 2  ครั้ง

เช่น คนที่น้ำหนัก 75 กก. และสูง 170 ซม. (1.7 เมตร)

จะมีดัชนีมวลกาย = (75 หาร 1.7) แล้ว1.7 อีกครั้ง = 25.9 กก.ต่อ ตารางเมตรอยู่ในเกณฑ์อ้วนระดับ 1

สำหรับค่าดัชนีมวลกายที่เหมาะสมมีดังนี้

ต่ำกว่า 18  ถือว่าผอม  

18.5 – 22.9        รูปร่างปกติ  

23.0 – 24.9        รูปร่างอ้วน  

25.0-  29.9        อ้วนระดับ 1

30   ขึ้นไป          อ้วนระดับ 2


3. การวัดเส้นรอบเอว และสะโพก


การดูด้วยตาเปล่าเป็นสิ่งที่ชาวบ้านคุ้นเคย เป็นความรู้สึก ณ ตอนที่เห็น เปรียบเทียบกับภาพอดีตที่ผ่านมา (อาจจะนานเป็นสัปดาห์ เป็นเดือน หรือนานเป็นปีก็ได้) แต่ก็เป็นเพียงความรู้สึก ซึ่งหลายครั้งก็ จะทักผิดทักถูก

การวัดเส้นรอบเอวเป็นมาตรฐาน นั่นคือวัดที่ระดับจุดกึ่งกลางระหว่างใต้ชายโครงและเหนือกระดูกสะโพก

ผู้ชาย ถ้าเส้นรอบเอวมากกว่า 36 นิ้ว (90ซม.) ถือว่าอ้วนลงพุง 

ผู้หญิง ถ้าเส้นรอบเอวมากกว่า 32 นิ้ว (80 ซม.) ถือว่าอ้วนลงพุง 

ค่าสัดส่วนเอว และสะโพก = เส้นรอบเอว (เมตร) หาร เส้นรอบสะโพกที่ยาวที่สุด

กรณีผู้ใหญ่ (ชาย) ถ้าเกิน 1.0 ถือว่าอ้วนลงพุง และผู้หญิง ถ้าเกิน 0.8 ถือว่าอ้วนลงพุง 


 

Shares:
QR Code :
QR Code