รู้จัก-ป้องกัน รับมือหวัด 2009
แนะไอจามปิดปาก-สวมหน้ากากอนามัย
หลายท่านคงได้ยินข่าวคราวเกี่ยวกับโรคระบาดของโรค “ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิดเอ เอช 1 เอ็น 1” ที่ลุกลามกันทั่วโลกตั้งแต่ช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา จนบัดนี้ประเทศต้นทางอย่างเม็กซิโก สหรัฐอเมริกาฯ จะเบาบางลงแล้ว แต่ในส่วนของทวีปออสเตรเลียมีทีท่าว่าจะมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นทวีคูณ
ส่วนในไทยก็มีผู้ป่วยขึ้นเป็นหลักสิบรายแล้ว แต่ส่วนใหญ่เป็นการติดเชื้อจากในประเทศที่มีการแพร่ระบาดแล้วเดินทางกลับเข้ามาในไทย ในจำนวนนี้พบว่ามีการติดเชื้อภายในประเทศเพียง 1 รายเท่านั้น เท่ากับว่าการแพร่ระบาดในคนไทยด้วยกันเองภายประเทศไทยยังไม่เกิดขึ้น
ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องรู้เท่ากันโรคและหาทางป้องกันเชื้อโรค แม้ว่ามันจะมีอัตราการเสียชีวิตไม่รุนแรงเท่ากับไข้หวัดนกหรือโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง (ซาร์ส) แต่อัตราการติดและแพร่เชื้อย่อมง่ายกว่าเพราะสามารถแพร่เชื้อจากคนหนึ่งไปยังอีกคน เพียงไอจามรดกันเท่านั้น
แต่ก่อนอื่นมาทำความรู้จักโรคนี้ดีกว่า เริ่มจาก “ไข้หวัดใหญ่ สายพันธุ์ใหม่ ชนิดเอ เอช 1 เอ็น 1” นี้ เหมือนกับไวรัสไข้หวัดใหญ่ทั่วไปอยู่ในเสมหะ น้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วย แพร่ด้วยการไอจามรดกันโดยตรงโดย กลุ่มเสี่ยงคือคนที่เดินทางไปยังประเทศที่มีการแพร่ระบาด รวมถึงผู้ที่ใกล้ชิดกับผู้ที่เดินทางกับมาเหล่านี้ด้วย
อาการที่เกิดขึ้น คือ ปวดหัว ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ อ่อนเพลีย ไอ เจ็บคอ เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน หรือท้องเสีย หากมีอาการดังที่กล่าวมาอย่างหนึ่งอย่างใดหลังจากเดินทางกลับจากประเทศที่มีการระบาดให้ไปพบแพทย์ทันที เพราะไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 สามารถรักษาได้ด้วยการให้ยาต้านไวรัสที่ชื่อ ไอเซลทามิเวียร์ภายใน 48 ชั่วโมงที่มีอาการ ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้สั่งจ่าย หากมีอาการจึงให้รีบไปพบแพทย์ทันที
ดังนั้นในเมื่อสถานการณ์การระบาดยังไม่เกิดการแพร่กระจายภายในประเทศไทย วิถีทางที่ดีที่สุดคือ ทุกคนควรรู้จักวิธีการป้องกันตัวเองให้ไกลจากโรคนี้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใด เริ่มต้นด้วยการหมั่นล้างมือบ่อยๆ เพราะเสมหะที่ผู้ป่วยไอ จามไว้ จะไม่ทำให้ป่วยเป็นโรคได้ทันที ถ้ามือของเราไม่สัมผัสแล้วนำมาขยี้ตา แคะจมูก ฯลฯ เมื่อเป็นเช่นนี้ควรล้างมือบ่อยๆ อย่างถูกวิธี
“วิธีการล้างมือที่ถูกวิธี ก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็น เวลาล้างมือแต่ละครั้งประมาณ 30 วินาที หรือฮัมเพลง แฮปปี้เบิร์ธเดย์สัก 2 รอบ แล้วเริ่มจากถูฝ่ามือ ถูหลังมือ ถัดมาก็นิ้วมือและซอกนิ้ว หลังนิ้วมือและฝ่ามือ จากนั้นก็ถูหัวแม่มือโดยรอบด้วยฝ่ามือ และไล่มาที่ปลายนิ้วขวางฝ่ามือ และจบด้วยการถูรอบข้อมือ” เพียงแค่นี้ก็ทำให้ห่างไกลโรคได้มากแล้ว
นอกเหนือจากนี้ก็ควรสวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งเมื่อรู้ตัวว่าไม่สบายเกี่ยวกับโรคทางเดินหายใจ เพื่อเป็นความรับผิดชอบต่อสังคมด้วย ล้มเลิกความคิดเก่าที่ว่าใส่หน้ากากเป็นตัวประหลาด แต่ถือว่าเป็นคนรับผิดชอบต่อสังคมมากกว่า และสามารถขอรับได้ที่สถานบริหารสาธารณสุขหรือหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป
หรือหากไม่มีหน้ากากจริงๆ ก็ควรใช้กระดาษทิชชู่แทนและทิ้งทันทีในถังขยะ หรือไม่ก็หันหน้าจามใส่ไหล่ของตนเอง อย่าเอามือปิดปาก เพราะจะทำให้เชื้อโรคไปอยู่ที่มือ เวลาไปหยิบจับอะไรก็เป็นการแพร่เชื้อโรคไปโดยไม่รู้ตัว
ฮั่นแน่! การสวมหน้ากากก็ใช่ว่าสวมๆ มันไป จมูกรอดออกมานอกหน้ากากแล้วเป็นเรื่องถูกต้อง เชื้อโรคไม่รั่วไหลซะเมื่อไหร่ วิธีการสวมหน้ากากที่ถูกต้อง คือ ต้องเริ่มจากล้างมือให้สะอาดก่อนสวมหน้ากาก โดยคลุมทั้งจมูกและปาก และต้องเปลี่ยนหน้ากากวันละครั้งและต้องทิ้งในถังขยะที่มีฝามิดชิด แต่ถ้าใช้แบบใส่ซ้ำ ต้องหมั่นทำความสะอาดและตากแดดเพื่อฆ่าเชื้อ หากชำรุดแล้วก็ควรเปลี่ยนชิ้นใหม่อย่าเสียดาย เพราะหากป่วยเป็นโรค เสียเงินค่ารักษาพยาบาล เสียเวลา จะไม่คุ้มค่ากับค่าหน้ากากอนามัยหนึ่งชิ้นเลย
นอกจากนี้ยังมีเคล็ดลับป้องกันเมื่อไข้หวัดระบาดแล้วป่วย ก็ควรหลีกเลี่ยงในการใกล้ชิดคลุกคลีกับคนอื่น ลางาน หยุดเรียนประมาณ 3 – 7 วันในช่วงที่แพร่ระบาดของโรค หากต้องทานอาหารกับผู้อื่นให้ใช้ช้อนกลาง ไม่ใช้แก้วน้ำ หลอดดูด ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัวร่วมกับผู้อื่น นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เลี่ยงการทานสุราสูบบุหรี่ด้วย
ในช่วงที่ยังไม่ป่วยก็ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ รักษาร่างกายให้แข็งแรง พักผ่อนให้เพียงพอ แค่นี้โรคร้ายต่างๆ ไม่เพียงแค่โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ รวมถึงโรคร้ายใหม่ๆ ที่จ่อคิวจะเกิดขึ้นในอนาคตก็ไม่มากล้ำกลายอีกเลย
ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน
Update 16-06-52
อัพเดทเนื้อหาโดย : กันทิมา ลีจันทึก