รู้จักกฎหมายสถาบันความปลอดภัย
เครื่องมือยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงานไทย
จากเหตุโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ในการทำงาน นับตั้งแต่เหตุการณ์ไฟไหม้โรงงานตุ๊กตาเคเดอร์ เมื่อปี 2536 มีผู้เสียชีวิตถึง 188 คน บาดเจ็บกว่า 469 คน จนกระทั่งถึงเหตุการณ์ล่าสุดในช่วงปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ได้เกิดเหตุตึกที่กำลังก่อสร้างของมหาวิทยาลัย มศว.บางแสน ถล่มลงมา มีแรงงานที่ได้รับบาดเจ็บมากกว่า 30 คน และมีผู้เสียชีวิต 3 คน
จะเห็นได้ว่า ชีวิตผู้ใช้แรงงานอยู่บนความเสี่ยงที่ขาดการคุ้มครอง โดยเฉพาะการ “ป้องกัน” ก่อนเกิดเหตุ เพราะทั้งผู้ประกอบการ และผู้ใช้แรงงานก็ไม่ต้องการให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น จึงเป็นที่มาของร่าง พ.ร.บ.ความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน และเป็นที่มาของการทำงานร่วมกันระหว่าง “ฝ่ายรัฐบาล-ฝ่ายค้าน”
เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของแรงงานไทย ที่มีอยู่ถึง 37.8 ล้านคน เป็นแรงงานในระบบ 24.1 ล้านคน และแรงงานนอกระบบ 13.7 ล้านคน จึงเกิดการทำงานร่วมกันระหว่างฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน อย่างนางรัชฎาภรณ์ แก้วสนิท ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ นายนคร มาฉิม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ และนายสถาพร มณีรัตน์ ส.ส.ลำพูน พรรคเพื่อไทย ในการร่วมผลักดันให้กฎหมายสามารถเดินหน้าออกไปได้
สาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ.ความปลอดภัยฯ คือ การจัดตั้งสถาบันส่งเสริมความปลอดภัย ภายใต้ พ.ร.บ.ความปลอดภัยฯ มีอำนาจหน้าที่ 1.ส่งเสริมและแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับความปลอดภัยอาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน 2.พัฒนาและสนับสนุนการจัดทำมาตรฐานเพื่อส่งเสริมความปลอดภัยในการทำงาน 3.ดำเนินการ ส่งเสริม สนับสนุน และร่วมดำเนินงานกับหน่วยงานด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงานของภาครัฐและเอกชน และ 4.จัดให้มีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการส่งเสริมความปลอดภัย ทั้งในด้านการพัฒนาบุคลากร และด้านวิชาการ
นายสถาพร มณีรัตน์ ส.ส.ลำพูน พรรคเพื่อไทย ในฐานะคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ความปลอดภัยอาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงาน พ.ศ. … เล่าถึงความเป็นมาและหัวใจสำคัญของร่างกฎหมายฉบับบี้ว่า
“กฎหมายฉบับนี้เริ่มร่างขึ้นในสมัยเหตุการณ์โรงงานตุ๊กตาเคเดอร์ที่มีคนงานบาดเจ็บล้มตายเป็นจำนวนมาก เลยเกิดการรวมตัวเพื่อผลักดันให้เกิดกฎหมายฉบับนี้ โดยเน้นรูปแบบการจัดตั้งสถาบันคุ้มครองแรงงานด้านความปลอดภัย มีการให้ความรู้แก่ลูกจ้าง นายจ้าง หน่วยงานของรัฐ และมีเงินกองทุนคอยบริหารจัดการเพื่อคุ้มครองแรงงาน เราต้องยอมรับว่าสภาพการจ้างงาน การใช้แรงงาน และสภาพของโรงงานในยุคนั้นยังไม่เข้มงวด ทั้งความรู้ สภาพแวดล้อม ทั้งนายจ้างและลูกจ้าง จึงได้เกิดแนวคิดการออกแบบกฎหมายของภาคแรงงาน และเป็นข้อเรียกร้องของภาคแรงงานมาหลาย 10 ปี และเพิ่งประสบความสำเร็จในยุคนี้”
กฎหมายความปลอดภัยอาชีวอนามัยฯ มีหัวใจที่สำคัญ คือ 1. สภาพการบังคับที่ชัดเจนเรื่องความปลอดภัย 2. มีสถาบันคุ้มครองความปลอดภัย และ 3. มีกองทุนและสำนักงานที่ชัดเจนในการทำงานด้านนี้โดยตรง ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตของแรงงาน ทั้งในระบบและนอกระบบ เพราะจะเกิดผลดีคือ ผู้ใช้แรงงานมีความมั่นคงด้านการทำงานและความปลอดภัย มีการฝึกอบรม โดยมีสถาบันที่มีความเป็นอิสระภายใต้รัฐมนตรีแรงงาน ทำให้มีความคล่องตัวมากขึ้น
นายบัณฑิต แป้นวิเศษ ตัวแทนเครือข่ายพัฒนาคุณภาพชีวิตแรงงาน กล่าวว่า ร่างกฎหมายความปลอดภัยฯ จะถือเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตของแรงงานไทยให้ดีขึ้น เพราะปัจจุบันมีแรงงานที่เจ็บป่วยจากการทำงานถึงปีละ 200,000 คน โดยร่างกฎหมายดังกล่าวจะมีการจัดตั้งสถาบันส่งเสริมความปลอดภัยฯ ที่เน้นทำงานด้านการป้องกันความปลอดภัย เพื่อลดการบาดเจ็บจากการทำงานและลดค่าใช้จ่ายทางสุขภาพของแรงงานไทยลงได้
เช่นเดียวกับกลุ่มผู้ป่วยผู้ถูกผลกระทบจากการพัฒนาอุตสาหกรรม นางสมบุญ สีคำดอกแค ประธานสภาเครือข่ายกลุ่มผู้ป่วย กล่าวว่า เป็นเวลานานถึง 17 ปี ของการผลักดันร่างกฎหมายฉบับนี้ เพื่อให้เกิดมีการจัดตั้งองค์กรอิสระขึ้นมาทำหน้าที่ส่งเสริมป้องกันแก้ไขปัญหาความไม่ปลอดภัยในการทำงาน ซึ่งกลุ่มคนป่วยผู้ถูกผลกระทบจากการพัฒนาอุตสาหกรรม จึงถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีในรอบ 17 ปี ในการยกระดับความปลอดภัยของคุณภาพชีวิตแรงงานให้ดียิ่งขึ้น และจะเป็นการเพิ่มความรู้ให้กับนายจ้าง และลูกจ้าง ในเรื่องการป้องกันเพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการทำงานอีกด้วย
สสส. สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ www.thaihealth.or.th สอบถาม 0-2298-0500 ต่อ 1222
ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชน
Update : 11-10-53
อัพเดทเนื้อหาโดย : สุนันทา สุขสุมิตร