‘ราชบุรี’อ่อนหวานต้นแบบลดน้ำตาลในโรงเรียน
กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) รณรงค์เพื่อเด็กไทยไม่กินหวาน มาตั้งแต่ พ.ศ.2547 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดพฤติกรรมการบริโภคน้ำตาลล้นเกินในเด็กไทยทั่วประเทศ
ทั้งนี้ยังมุ่งเน้นการศึกษาหาข้อมูลและผลักดันให้เกิดมาตรการเชิงนโยบาย โดยเฉพาะเรื่องโรงเรียนปลอดน้ำอัดลม และฉลากโภชนาการอย่างง่ายบนบรรจุภัณฑ์ขนมเด็ก เพื่อให้ตระหนักถึงความจำเป็นและเกิดการสนับสนุนการลดการบริโภคน้ำตาลให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ในปี พ.ศ. 2554 เด็กไทยไม่กินหวาน มีเครือข่ายจังหวัดที่เห็นความสำคัญและร่วมรณรงค์สนับสนุนการลดการบริโภคน้ำตาลมากถึง 20 จังหวัด ทั่วประเทศ
กินหวานมากและเป็นประจำเป็นสาเหตุให้เกิดโรคอ้วนโรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง และโรคฟันผุ โรคต่างๆ เหล่านี้หากเป็นแล้วยากที่จะรักษาให้หายขาดได้
จากข้อมูลกระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า สองทศวรรษที่ผ่านมาคนไทยบริโภคน้ำตาลเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่า เป็นปริมาณ 33 กิโลกรัมต่อคนต่อปี หรือ เฉลี่ย 20 ช้อนชาต่อคนต่อวัน ซึ่งเกินกว่ามาตรฐานโภชนาการที่กำหนดถึง 14 ช้อนชา (6 ช้อนชาต่อคนต่อวัน)
จากผลสำรวจของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุขในรอบ 5 ปีที่ผ่านมาพบว่า ประชากรเพศชายเป็นโรคอ้วนเพิ่มมากขึ้นถึงร้อยละ 36 ส่วนประชากรเพศหญิงเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 47 โดยช่วงอายุที่มีอัตราการการเป็นโรคอ้วนที่เพิ่มสูงที่สุด คือ ช่วงอายุ 20-29 ปี ซึ่งเป็นช่วงอายุที่อยู่ในวัยทำงาน และจากสภาพปัญหาดังกล่าวทำให้เกิดปัญหาภาระค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษา อาจจะนำไปสู่ปัญหาด้านเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งเป็นปัญหาของประเทศชาติในอนาคต
การดำเนินโครงการรณรงค์เพื่อลดน้ำตาลในครัวโรงเรียนเพื่อลดโรคที่น่าสนใจ คือ ที่โรงเรียนวัดเขาวัง(แสง ช่วงสุวณิช) จ.ราชบุรีสำนักงานพื้นที่เขตการศึกษา 2 จัดรณรงค์ลดบริโภคหวานมาอย่างต่อเนื่อง มาตั้งแต่ปี 2552 ใช้นโยบาย “โรงเรียนปลอดน้ำอัดลม” และใช้มาตรการ “ลดปริมาณน้ำตาลในครัวโรงเรียน” เป็นโรงเรียนต้นแบบโรงเรียนอ่อนหวานโรงเรียนแรก ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายของโรงเรียนประมาณปีละไม่น้อยกว่า 18,000 บาท ในด้านสุขภาพเด็กพบเด็กน้ำหนักเกินเกณฑ์มาตรฐานลดลงจากร้อยละ 25.9 เหลือร้อยละ 21.0
จากจุดเริ่มคือ ลดการใช้น้ำตาลปรุงอาหารในครัวของโรงเรียนโดยมีวัตถุประสงค์ให้โรงเรียนปรุงอาหารและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลน้อยลงสำหรับนักเรียนและบุคลากรในโรงเรียน จากนั้นมียุวทูตอ่อนหวาย ขยายมาตรการดังกล่าวไปยังทุกโรงเรียน เพื่อลดการใช้น้ำตาลปรุงอาหารในครัวของโรงเรียน กระทั่งผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรี ยังประกาศนโยบายสนับสนุนว่า”จังหวัดราชบุรีหวานพอดีไม่เกินวันละ 6 ช้อนชา” ขอให้ทุกหน่วยงานจัดสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการลดการบริโภคหวานในองค์กร
ที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กลูกรัก สังกัดสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จังหวัดตรัง มีเด็กประมาณ 160 คนเข้าร่วมโครงการเครือข่าย เด็กตรังไม่กินหวาน ในโครงการเด็กไทยไม่กินหวานของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดตรัง มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2550 จนถึงปัจจุบัน โดยตั้งใจที่จะเป็นสื่อกลางในการสื่อสารระหว่างศูนย์กับผู้ปกครองและรณรงค์ให้ความรู้เพื่อสร้างเด็กและ ครอบครัวให้เป็นผู้รู้ทันการบริโภค อันจะส่งผลให้เด็กมีภาวะโภชนาการที่ดี มีน้ำหนักส่วนสูงตามเกณฑ์และฟันไม่ผุ จึงจัดทำโครงการต่างๆ เช่น ใส ใส หัวใจอ่อนหวาน ลูกรักอ่อนหวาน และ รักษ์ฟัน ขึ้น
ที่ศูนย์นี้ครูผู้ปกครองร่วมกันคิดและกำหนดข้อตกลงเกิดเป็นนโยบายศูนย์เด็กเล็กอ่อนหวาน ติดประกาศให้มองเห็นชัดเจน อาทิ อาหารว่างและอาหารเที่ยงศูนย์ฯ จัดให้เด็กรับประทานอาหารแนวธรรมชาติบำบัดตามหลักโภชนบัญญัติ 9 ข้อ เน้นอาหารที่มีประโยชน์สูตรน้ำตาลน้อย (ลดหวาน มัน เค็ม) เน้นผักผลไม้ ดื่มน้ำสมุนไพร เด็กดื่มนมจืดจากแก้วและดื่มนมกล่อง ไม่ดื่มน้ำอัดลม กินขนมถุง ขนมหวานต่างๆ สร้างกิจนิสัยในการรักษาอนามัยในช่องปากเด็กด้วยการแปรงฟันหลังอาหารพร้อมทั้งเพิ่มการดูแลโดยครูตรวจความสะอาดหลังเด็กแปรงฟันทุกคน/ทุกวันและทันตบุคลากรตรวจสุขภาพฟันและเคลือบฟลูออไรด์วานิช ปีละ 2 ครั้ง ทุกปี จากนั้นอีกไม่นานทำให้การบริโภคน้ำตาลในศูนย์ลดลงจาก 13-15 กิโลกรัม เหลือเป็น 7 กิโลกรัมต่อเดือน ได้ผลทั้งสุขภาพและเศรษฐกิจ
ที่ จังหวัดลำปางไปที่ สถานรับเลี้ยงเด็กปฐมวัยพีระยานาวินศูนย์ลำปาง (วัดศรีหลวง) มีแนวคิดชดเชยน้ำตาลที่ลดด้วยผลไม้ สุขภาพแข็งแรง ปลอดโรค ปลอดภัย สถานรับเลี้ยงเด็กแห่งนี้อยู่ในความอนุเคราะห์ของพีระยานุเคราะห์มูลนิธิ ในพระอุปถัมภ์ของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และมูลนิธิศาสตราจารย์ดร.อุกฤษ และท่านผู้หญิงมณฑินี มงคลนาวิน เปิดดำเนินการเลี้ยงดูและพัฒนาเด็กอายุ 2-4 ปี โดยรับเด็กที่มาจากครอบครัวที่มีรายได้น้อยไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่ผู้ปกครองต้องมีส่วนร่วม
การบริหารงาน ดำเนินตามนโยบายของทางหน่วยงานราชการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และนโยบายการบริหารงานของพีระยานุเคราะห์มูลนิธิโดยคำนึงถึงความมุ่งหมายหลักการและแนวทางการจัดการศึกษา ที่กิจกรรมการเรียนการสอน โดยเน้นเด็กเป็นศูนย์กลาง มีผู้ปกครองและชุมชนมีส่วนร่วม ที่นี่เริ่มโครงการจากการสำรวจ พบว่าเด็กที่นี่ดื่มนมผสมน้ำตาลและขนมหวานหลังรับประทานอาหารกลางวัน ในหนึ่งเดือนใช้น้ำตาล 1 กระสอบ (50 กก.)ตั้งแต่ปี 2543-2545 และหลังจากปี 2546-ปัจจุบัน ได้ลดน้ำตาลเหลือเดือนละไปถึง 5 กิโลกรัม
ซึ่งต่อมาได้มีการบริหารจัดการ ด้านการบริโภคใหม่ คำนึงถึงหลักการโภชนาการหลัก 5 หมู่ ดื่มนมตอนเช้าไม่ใส่น้ำตาล งดอาหารหวานแต่สามารถรับประทานของหวานได้สัปดาห์ละ 1 วันและทานผลไม้ตามฤดูกาลหลังอาหารกลางวัน และอาหารว่าง ไม่ให้เด็กนำมาและไม่กินขนมกรุบกรอบ ไม่ดื่มน้ำอัดลม ดื่มนมจากแก้วเพราะทางศูนย์จะคำนึงถึงสุขภาพร่างกายของเด็กที่จะส่งผลไปยังการพัฒนาการของสมอง รวมไปถึงการดูแลช่องปาก ให้เด็กแปรงฟันหลังการรับประทานอาหารทุกครั้ง และมีการเปลี่ยนแปรงสีฟันทุกๆ 2 เดือน การป้องกันโรคติดต่อภายในศูนย์เด็กเล็กมีการคัดกรองเด็กตั้งแต่เข้าประตูโรงเรียนตอนเช้า เมื่อพบว่าเด็กมีอาการเจ็บป่วยหรือผิดปกติเราจะแจ้งผู้ปกครองรับทราบเพื่อนำไปพบแพทย์ เด็กมาถึงโรงเรียนทุกคนต้องไปล้างมือให้สะอาดก่อนเข้าห้องเรียน
ผลจากตัวอย่างการดำเนินงานดังกล่าว จะเห็นว่าการลดน้ำตาลในครัวโรงเรียนทำให้เกิดผลต่างๆ ขึ้นอีกมากมาย ทั้งด้านสุขภาพและผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ วันเด็กนี้ถ้าทุกฝ่ายช่วยกันรณรงค์ลดการบริโภคน้ำตาลในเด็กไทย จะช่วยให้เยาวชนของชาติมีสุขภาพดีขึ้น
ที่มา: หนังสือพิมพ์แนวหน้า