รับประทานเมนูลิ่น เสี่ยงติดโควิด-19
ที่มา : ผู้จัดการรายวัน
แฟ้มภาพ
ตัวนิ่ม หรือตัวลิ่น เผชิญกับการถูกล่าอย่างผิดกฏหมายมากที่สุดในช่วงปลายปีที่ผ่านมา จนสุ่มเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ในอนาคตอันใกล้ ขณะเดียวกันเป็นสัตว์ป่าต้องอาศัยอีกสายพันธุ์ ว่าคือต้นตอของไวรัสอู่ฮั่น หรือโควิด-19 ตัวกลางนำเชื้อไวรัสในสัตว์ป่ามาติดต่อสู่คน เนื่องจากคนจีนนิยมเปิบเมนูพิสดาร
ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ ราชบัณฑิต และหัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า แม้ว่าในขณะนี้ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่เริ่มระบาดจากเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน มีที่มาจากสัตว์ชนิดใด แต่เป็นที่ยืนยันแล้วว่า ต้นตอของ "ไวรัสอู่ฮั่น" มีที่มาจากเชื้อไวรัสในสัตว์ป่าที่ติดต่อมาสู่คน จากการบริโภคสัตว์ป่าที่มีเชื้อไวรัส
ในการตรวจสอบทางพันธุกรรม พบว่า เชื้อไวรัสตัวนี้มีรหัสพันธุกรรมใกล้เคียงกับไวรัสโควิด-19 ที่พบในค้างคาวมากที่สุดกว่า 87% ในขณะเดียวกัน เชื้อไวรัสตัวนี้ก็มีลักษณะทางพันธุกรรมคล้ายคลึงกับสายพันธุ์ไวรัสที่ค้นพบในงูด้วย
"เชื้อไวรัสโคโรนาต้นตอของการระบาดในครั้งนี้ เป็นเชื้อไวรัสที่ไม่เคยพบการระบาดในคนมาก่อน โดยไวรัสประเภทนี้ส่วนใหญ่สามารถพบได้ทั่วไปในประชากรสัตว์ป่าอยู่แล้ว จึงสันนิษฐานว่าเชื้อมีการติดต่อระหว่างคนสู่คนได้ นั่นทำให้ไวรัสอู่ฮั่นเกิดการระบาดในวงกว้างได้"
ศ.นพ.ยง กล่าวอีกว่า "การเปิปพิสดารเนื้อสัตว์ป่าอย่างตัวลิ่นที่เห็นชาวจีนจำนวนหนึ่งบริโภคผ่านโซเชียลมีเดีย เป็นปัจจัยเสี่ยงหลักที่อาจทำให้เชื้อไวรัสที่พบในสัตว์กระโดดจากสัตว์สู่คนได้ ซึ่งการบริโภคสัตว์ป่า โดยทำเมนูพิสดารขึ้นมามีความเสี่ยงสูงที่ทำให้เกิดการระบาดของโรคติดต่อใหม่ๆ จากสัตว์สู่มนุษย์ในอนาคตอีกด้วย"
ด้านนายสัตวแพทย์ภัทรพล มณีอ่อน หรือ หมอลอต นายสัตวแพทย์ประจำกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กล่าวว่า ปัจจุบันการบริโภคเนื้อของตัวลิ่นยังเป็นที่นิยมในประเทศเพื่อนบ้าน มักนำเนื้อไปประกอบอาหารกับเครื่องเทศที่มีกลิ่นแรงเพื่อช่วยดับกลิ่น
"ขอบอกตามตรงว่าเนื้อของตัวลิ่นไม่ได้มีรสสัมผัสพิเศษ หรือคุณค่าทางโภชนาการตามหลักวิชาการ ส่วนความเชื่อที่ว่ามีสรรพคุณทางยา เพิ่มสมรรถภาพทางเพศ หรือยาโด๊ป เป็นความเชื่อแบบผิดๆ เพราะเนื้อของตัวลิ่นไม่มีสรรพคุณเป็นยาบำรุงสมรรถภาพทางเพศ แต่น่าจะเป็นส่วนประกอบอื่นที่นำมาผสมกับตัวลิ่นมากกว่าที่มีสรรพคุณนั้น ส่วนเกล็ดของตัวลิ่นมักนำไปตุ๋นจนเปื่อยร่วมกับเครื่องปรุงอื่น รสชาติไม่ได้ดีเลิศเลอ หากกินเข้าไปก็เหมือนกับว่าเรากินเล็บของตัวเอง"