รักลูกต้อง’หยุด’โพสต์

ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ โดย นิภาพร ทับหุ่น


ภาพประกอบจากแฟ้มภาพ


รักลูกต้อง'หยุด'โพสต์ thaihealth


พาดหัวตัวโตในเว็บไซต์ telegraph.co.uk เมื่อราวเดือนกันยายน 2559 ที่ผ่านมา สร้างความ ตกตะลึงให้กับนักท่องออนไลน์ไปทั่วโลก เพราะนี่ถือเป็นคดีแรกในประเทศออสเตรียที่ "ลูก" ฟ้องร้องดำเนินคดีกับคนที่เป็น "พ่อ-แม่" ข้อหา "ละเมิดสิทธิส่วนบุคคล" กรณีโพสต์ภาพที่น่าอับอายในวัยเด็กของเธอลงโซเชียลมีเดีย


อย่าคิดว่าเด็กคนนี้ทำเกินไป เพราะกฎหมายที่เกี่ยวเนื่องกับการละเมิดสิทธิเด็กนั้นค่อนข้างชัดเจนและเข้มงวดโดยเฉพาะในยุโรปและอเมริกา ห้ามเผยแพร่ข้อมูลของเด็กที่อายุต่ำกว่า 13 ปีไม่เช่นนั้นอาจมีปลายทางเหมือนคดีนี้ที่พ่อแม่ถูกฟ้องร้องดำเนินคดี และมีค่าปรับสูงถึง 1.7 ล้านบาท!!! ประเทศไทยเองก็มีพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 โดยนำหลักอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (Convention on the Rights of the Child) ที่ประเทศไทยสมัครใจเป็นภาคีตั้งแต่ปี พ.ศ.2535 มาบัญญัติไว้ในกฎหมายซึ่งก็มีการระบุโทษแห่งการกระทำผิดหรือการละเมิดสิทธิไว้ชัดเจน เพียงแต่ยังไม่มีกรณี "เชือดไก่ให้ลิงดู" เท่านั้น


ข้อสำคัญคือ พ่อแม่ ผู้ปกครองหรือบุคคลใกล้ชิด ไม่ทันได้ตระหนักว่า สิ่งที่ทำลงไปเป็นการทำร้ายลูก เพราะรูปที่โพสต์หรือคลิปที่แชร์ ก็มีแต่มุมที่พ่อแม่คิดว่า น่ารัก น่าเอ็นดู ตลกดีแล้วจะมีสักกี่คนที่มองลึกไปกว่านั้นว่านี่คือการ "ละเมิดสิทธิ"


รักลูกต้อง'หยุด'โพสต์ thaihealthไม่มี "พื้นที่ส่วนตัว"บนโลกโซเชียล…แม่ชอบเอารูปตอนเราเด็กๆ2-3 ขวบ นุ่งกางเกงในตัวเดียวไปให้เพื่อนๆ ดู แม่มองว่าน่ารัก แต่สำหรับเรา ไม่เลย เราเกลียดรูปนั้นมาก…คอมเมนต์ในกระทู้หนึ่งเป็นตัวแทนที่สะท้อนความรู้สึกของลูกที่ถูกนำรูปในวัยเด็กไปเผยแพร่ ถึงแม้จะไม่ได้จบลงที่การฟ้องร้อง แต่……เคยบอกแม่แล้วว่าไม่ให้คนอื่นดู แต่แม่ไม่เข้าใจ จนสุดท้ายเราต้องขโมยรูปมา "ฉีกทิ้ง"…


สถานการณ์การถ่าย โพสต์ แชร์ "คลิปเด็ก" ในปัจจุบันมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งการกระทำดังกล่าวหลายคนอาจจะยังไม่รู้เท่าทันว่าเป็นการละเมิดสิทธิ เรื่องนี้ เข็มพ รวิรุณราพันธ์ ผู้จัดการสถาบันสื่อเด็กและเยาวชน(สสย.) บอกว่า สื่อและเทคโนโลยีทุกวันนี้เปลี่ยนแปลงไปเร็วมาก การละเมิดสิทธิเด็กจึงมีมิติและรูปแบบใหม่ๆ ที่หลายคนอาจคาดไม่ถึง "ในอดีตเรื่องสื่อเราอาจจะมีผู้ผลิตสื่อผู้ส่งสื่อ และผู้รับสื่อ แต่ปัจจุบันสื่ออยู่ในมือของทุกคน ในทางนิเทศศาสตร์คำว่า ผู้รับสื่อ อาจจะต้องเลิกใช้กันแล้ว เรามีแต่ ผู้ใช้สื่อ ทุกคนสามารถที่จะส่งสื่อส่งสารได้เอง ทุกคนมีมือถือเพื่อการใช้สื่ออยู่แทบจะเรียกว่าทุกลมหายใจก็ได้ ทำให้เราเห็นปัญหาการละเมิดสิทธิเด็กในมิติใหม่ๆ มากขึ้น"


ปฏิเสธไม่ได้ว่า ภาพ และคลิปเด็กส่วนใหญ่ที่เห็นในโลกไซเบอร์นั้นมีต้นทางมาจากคนใกล้ตัวของเด็กแทบทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น พ่อ แม่ พี่ น้อง คนในครอบครัว ครู อาจารย์ ฯลฯ เนื้อหาของภาพที่นำเสนอก็จะมีทั้งความน่ารักสดใส ตลกขบขัน แกล้งให้ตกใจ หรือทำโทษแบบร้ายกาจ


พญ.พรรณพิมล วิปุลากร ผู้ตรวจราชการกรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า เข้าใจว่าพ่อแม่ทุกคนรักลูก อยากโชว์ความน่ารักของลูกแต่การถ่ายคลิปเด็กในอิริยาบถต่างๆ พร้อมกับระบุตัวตน แล้วนำมาโพสต์หรือแชร์จนคนอื่นสามารถเข้าถึงข้อมูล ถือเป็นการทำร้ายเด็ก เกิดความเสี่ยง ทำให้เด็กไม่ได้รับความปลอดภัย ขณะเดียวกันตัวเด็กเองก็ไม่ได้รู้สึกดีกับภาพที่ถูกโพสต์ถูกแชร์ เพราะเขาไม่มีโอกาสได้ร่วมตัดสินใจว่าจะชอบหรือไม่ชอบ เมื่อโตขึ้นอาจเกิดความรักลูกต้อง'หยุด'โพสต์ thaihealthรู้สึกไม่ดีเมื่อได้เห็นคลิปนั้น


"ทุกคนใช้โซเชียลมีเดียด้วยความเป็นส่วนตัว ไม่ได้ตระหนักโดยธรรมชาติว่า ไม่มีโซเชียลมีเดียไหนที่มีความเป็นส่วนตัว มันไม่มีโดยธรรมชาติของตัวมันเอง แต่คนไทยจะคิดว่า นี่คือพื้นที่ส่วนตัวเป็นที่มาที่เราพบว่า ทุกคนโพสต์อะไรไปในวินาทีแรกเพราะคิดว่าเป็นพื้นที่ส่วนตัวทำให้เราต้องกลับมาตั้งหลักที่คนเป็นพ่อแม่ว่า ในขณะนี้ไม่ใช่มีเราในฐานะพ่อแม่เท่านั้น แต่ว่าเด็กอีกคนหนึ่งที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับสิ่งที่คุณคิดเอาเองว่าอยู่ในพื้นที่ส่วนตัว


สิ่งที่เด็กเข้ามาเกี่ยวข้องแล้วชัดเจนมาก คือ เรื่องความรุนแรง เราจะเห็นว่า คลิปจำนวนมากปรากฏความรุนแรงทั้งทางด้านร่างกายและภาวะจิตใจ ซึ่งมันก็น่าสนใจต่อไปว่า การที่เด็กตกใจกลัวมันสนุกตรงไหน เราโพสต์ขึ้นมาบนทัศนะเดิมๆ ว่า ก็สนุกที่ได้แกล้งลูก ถ้าทำซ้ำๆ พ่อแม่มีจุดประสงค์อะไร นี่เป็นความรุนแรง ส่วนอีกเรื่องที่เห็นชัดเจนคือเรื่องเกินกว่าวัย เราจะเห็นว่าเด็กถูกส่งเสริมให้เกินกว่าวัย มีการแอคติ้งหน้าคลิป พูดง่ายๆ ว่าไม่ต้องส่งลูกขึ้นเวทีใหญ่ๆ เพราะเราทำเวทีให้เด็กที่บ้านเลย เราส่งเด็กขึ้นเวทีตั้งแต่อายุยังไม่มาก ถ้าเราส่งเสริมให้มันเกินกว่าวัยขึ้นเรื่อยๆ แล้วเด็กเรียนรู้อะไรจากสื่อ"


โพสต์ไปตามใจคนร้ายแอบยิ้ม


ในสังคมทุกวันนี้มีทั้งคนปกติและคนที่มีปัญหาทางจิต เป็นไปได้ว่าการโพสต์ภาพและคลิปของเด็กบางกรณี อาจทำให้เกิดอาชญากรรมตามมา ไม่ว่าจะเป็นการลักพาตัวจากการโพสต์และระบุสถานที่ หรือการกระทำชำเราโดยมีภาพหรือคลิปเด็กในชุดโป๊เปลือยเป็นตัวกระตุ้น


"นานมากแล้ว มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งพ่อแม่จับเด็กเป็นนางงาม เขาก็จะแต่งตัวให้เป็นนางงาม ทำผมทรงตีโป่ง แต่งตัว ยิ้ม โพสต์ภาพ ภาพเขาก็ปรากฏในสาธารณะ ตอนนั้นไม่ได้มีสื่อมาก มีแค่ทีวีและสื่อสิ่งพิมพ์ หลังจากเป็นนางงามเด็ก วันหนึ่งเขาก็หายออกไปจากบ้าน หายสาบสูญไปจนวันนี้ มีการพยายามหาคำตอบว่าเด็กหายไปไหน หายไปจนคิดว่าเด็กเสียชีวิตแล้ว เพราะมันนานมาก แต่ที่สำคัญคือ ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หลายคนอาจไม่ตระหนัก ไม่รู้สึกถึงคำว่า ถูกล่อลวง" พญ.พรรณพิมล กล่าว


รักลูกต้อง'หยุด'โพสต์ thaihealthด้าน ผศ.มรรยาท อัครจันทโชติคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เสริมว่า มีหลายกรณีที่เกิดผลกระทบทางลบตามมา แต่ไม่เคยปรากฏในสื่อ ไม่เคยมีการติดตามว่าเกิดอะไรขึ้นกับเด็กที่เคยปรากฏบนคลิปต่างๆ ถือเป็นการกลั่นแกล้งในโลกออนไลน์ที่สร้างแผลลึกในชีวิตจริง หรือ Cyber-bullying รูปแบบหนึ่ง


"ในเมืองไทยยังไม่เคยมีการรวบรวมจริงๆ แต่ที่เคยได้ยินมาอย่างเช่น น้องหล้าเหนียวไก่ทุกวันนี้เขากลายเป็นคนเก็บตัว ไม่กล้าที่จะเข้าสู่สังคมไปเลย แต่ในต่างประเทศจะเจอข่าวแบบนี้เยอะมาก อย่างสตาร์วอร์คิดส์ ที่เป็นคลิปตลกๆ แต่มันทำให้เด็กคนนึงต้องออกจากโรงเรียนเพราะทนต่อการถูกล้อเลียนตลอดเวลาไม่ได้ เพราะคลิปนั้นยังอยู่บนยูทูป มีคนดูเป็นสิบๆ ล้านวิว บางคนคิดว่าเป็นเรื่องขำๆ แต่เจ้าตัวไม่ขำด้วยหรืออีกเคสนึงเป็นเคสที่ลูกสาวโพสต์รูปที่ใส่ชุดซึ่งอาจจะดูวาบหวามให้เพื่อน แต่พ่อโกรธมาก ถ่ายรูปลูกตอนกำลังก้อนผมลูกเป็นการทำโทษในคลิปพ่อก็ถามว่า ผิดมั้ย บอกแล้วไม่ให้ทำ ลูกสาวก็ยอมรับว่าผิด คลิปนี้แพร่กระจายไปทั่ว ไม่ใช่แค่ในโรงเรียนแต่รู้กันทั่วไปหมด เมื่อเด็กไปโรงเรียน ทุกคนรับรู้ว่าเด็กคนนี้ถูกพ่อทำโทษมา บ่ายวันนั้นเด็กคนนั้นกระโดดน้ำตาย"


แม้จะไม่มีเจตนา แต่เมื่อไรที่โพสต์หรือแชร์ภาพออกไป คิดแค่เพียงอยากอวดความน่ารัก อยากถ่ายเล่นสนุกสนาน หรืออยากแค่แกล้งเด็ก สิ่งเหล่านั้นจะเป็นดาบสองคมที่ทำร้ายเด็กได้ ทั้งยังเพิ่มความเสี่ยงในการใช้ชีวิต ตัวเด็กเองก็ไม่รู้ถึงการปกป้องตัวเอง จนมองเป็นเรื่องปกติแล้วเกิดการโพสต์ตาม "ทุกอย่างควรมีขอบเขต ระมัดระวังในการใช้เทคโนโลยี ซึ่งในต่างประเทศจะเข้มงวดเรื่องการปกป้องสิทธิเด็กมาก และพ่อแม่ก็จะไม่ยอมหากมีคนมาถ่ายภาพหรือคลิปโดยไม่ได้รับอนุญาต มีสิทธิเอาผิดตามกฎหมายได้ แต่ประเทศไทยยังไม่ตระหนักถึงสิ่งเหล่านี้" พญ.พรรณพิมล บอก


ตัวอย่างกฎหมายที่เกี่ยวกับเด็กในโลกออนไลน์ เช่น ประเทศเยอรมนีห้ามพ่อแม่หรือผู้ปกครองเด็กรักลูกต้อง'หยุด'โพสต์ thaihealthเช็คอิน(Check in) ว่าเด็กอยู่ที่ไหนบนสื่อออนไลน์ แม้เด็กจะอยู่กับพ่อแม่หรือผู้ปกครองก็ตาม (เด็ก = อายุต่ำกว่า14 ปี) ประเทศสหรัฐอเมริกา มีกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของเด็กบนโลกออนไลน์ (Children's online privacy protection act 1998) โดยกำหนดอายุของเด็กคือบุคคลที่มีอายุต่ำกว่า 13 ปีไม่ควรอยู่ในสื่อสังคมออนไลน์


ประเทศฝรั่งเศส มีกฎหมายห้ามโพสต์รูปบุคคลอื่นหรือตีพิมพ์รูป ไม่ว่ารูปนั้นจะเป็นรูปลูกของตัวเองก็ตามถ้าตรวจสอบแล้วผิดจริงจะมีโทษทั้งจำและปรับ ส่วนประเทศไทยมีพระราชบัญญัติคุ้มครองสิทธิเด็ก พ.ศ.2546 ที่เข้าข่ายคุ้มครองเด็กในโลกออนไลน์ดูเหมือนมาตรา 27 "ห้ามโฆษณาหรือเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับตัวเด็ก โดยเจตนาที่จะทำให้เกิดความเสียหายแก่จิตใจชื่อเสียง หรือเกียรติคุณ หรือเพื่อแสวงหาประโยชน์สำหรับตัวเอง หรือผู้อื่นโดยมิชอบ" จะเข้าข่าย "ใช่" ที่สุด


รักลูกแบบ "ลูก"ไม่ใช่ "ตุ๊กตา"


จากการเผยแพร่คลิปเด็กต่างๆ ที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นว่า คนไทยไม่มีความเข้าใจในเรื่อง "สิทธิส่วนบุคคล" อย่างแท้จริง ยิ่งโดยเฉพาะคนที่เป็นพ่อแม่ผู้ปกครอง ยิ่งต้องคิดถึงเรื่องนี้ให้มากที่สุด สรรพสิทธิ์ คุมพ์ประพันธ์ ประธานมูลนิธิศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็ก กล่าวว่าพ่อแม่ไม่ควรมองว่าการโพสต์การแชร์เป็นเรื่องขำขัน สนุกสนาน แต่ควรนึกถึงหลักสิทธิมนุษยชนเป็นสำคัญ และหันกลับไปสนใจพัฒนาทักษะในการเลี้ยงลูก สนใจความรู้สึกของลูก และรักลูกอย่างที่ลูกเป็นลูกไม่ใช่ "ตุ๊กตา"


"ทำไมพ่อแม่ผู้ปกครองทำแบบนี้ ทำไมพ่อแม่ผู้ปกครองรู้สึกสนุกกับความรู้สึกของลูก อยากจะชี้ให้เห็นใน3 ปัจจัย ปัจจัยที่ 1 พ่อแม่เหล่านี้ไม่สามารถเข้าถึงอารมณ์ความรู้สึกของลูก คือใครก็ตามที่เข้าถึงความรู้สึกของคนอื่นว่าเขาจะเดือดร้อนแค่ไหนถ้าทำแบบนี้เขาก็จะไม่ทำ แต่พ่อแม่ต้องยิ่งกว่านั้น ต้องเข้าถึงความรู้สึกลูกของตัวเองได้ ปัจจัยที่ 2 เขาไม่ได้มีความสัมพันธ์แบบที่เรียกว่า secure attachment กับลูก คือไม่ได้รักลูกแบบที่พ่อแม่ควรจะรักแต่อาจจะรักลูกแบบที่เป็นตุ๊กตา เป็นของรักลูกต้อง'หยุด'โพสต์ thaihealthเล่น เป็นอะไรพวกนี้มากกว่า ตรงนี้เป็นประเด็นที่ทำให้กล้าที่จะทำการละเมิดสิทธิด้วยตนเอง ปัจจัยที่ 3 คนเหล่านี้ไม่มีทักษะพ่อแม่ คุณจะไปตรวจสอบทำไมว่าลูกรักคุณมั้ย ด้วยการทำให้เด็กกลัว ตกใจ เพราะพ่อแม่ที่ถูกต้องไม่ต้องไปตรวจสอบ พ่อแม่กับลูกที่ถูกต้องจะมี3 ปัจจัยนี้"


ประธานมูลนิธิศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็ก บอกว่า พ่อแม่ที่โพสต์ภาพหรือคลิปลูกมักจะมีปัญหาเรื่อง self esteem คือต้องการการยอมรับจากสังคม พ่อแม่บางกลุ่มต้องการหาประโยชน์จากลูกโดยการเอาลูกไปโพสต์ขอบริจาคหรือสร้างรายได้ การแก้ปัญหาอาจไม่ได้อยู่ที่กระบวนการยุติธรรมแต่ต้องมีมาตรการทางสังคมมาช่วยดูแล


"ปัญหาทั้งหมดไม่สามารถแก้ได้ด้วยกฎหมาย ทัศนคติและค่านิยมเป็นเรื่องเล็ก แต่เรื่องใหญ่คือคนที่เกี่ยวข้องกับเด็กไม่สามารถใช้สมองส่วนหน้าในการคิด วิเคราะห์ ตั้งคำถาม ตั้งข้อสงสัยกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับลูก ต้องมีมาตรการหลายๆ ส่วนร่วมกัน"


แน่นอนว่า ถ้าเป็นคลิปเด็กโป๊ คลิปล่วงละเมิดทางเพศเด็ก หรือคลิปกระทำความรุนแรงต่อเด็ก จะชัดเจนในแง่ของกฎหมาย แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นแล้วสะสมมานานคือประเด็นที่คล้ายจะเป็นเส้นบางๆ ที่ไม่มีความชัดเจน และกฎหมายก็เอาผิดไม่ได้ เพราะผู้ที่โพสต์คลิปเหล่านั้นคือพ่อแม่และบุคคลใกล้ชิด "มันเป็นเรื่องแค่ว่า พ่อแม่อยากจะโพสต์รูปลูก คลิปลักษณะแบบนี้จะมีปัญหาอยู่ 3 แบบ คือ แบบที่ 1โชว์ความน่ารัก อยากให้ลูกดัง เผื่อจะไปเตะตาบรรดาแมวมองทั้งหลาย แบบที่ 2 คือน่ารักดี ตลกๆ ไร้เดียงสาแบบเด็กๆและแบบที่ 3 คลิปที่บางทีไปลงโทษหรือประจานให้อับอาย คือไม่ว่าจะเป็นแบบไหนก็คือส่งผลต่อเด็กทั้งนั้น"สรรพสิทธิ์ สรุป


ด้าน อาจารย์มรรยาท บอกว่าปัญหาเกิดเพราะทุกคนไม่ได้ตระหนักว่าการโพสต์คลิปหรือภาพถ่ายของเด็กนั้นจะทำให้เกิดปัญหา แต่ถ้าหยิบผลที่เกิดขึ้นในสังคมออกมาสะท้อน ก็อาจจะกระตุกต่อม "ยั้งคิด" ของทุกคนได้บ้าง"การที่คนจะตระหนักได้มันควรจะเห็นผลชัดๆ แค่ไปบอก Do and Don't ว่าไม่ควรโพสต์นะ ควรคิดให้มากนะควรคิดถึงประโยชน์ว่า เด็กได้ ไม่ได้มันดูเป็นนามธรรมมาก มันก็เลยค่อนข้างยาก แต่ถ้าเราหยิบผลที่เกิดขึ้นจากเคสต่างๆ มา สังคมจะรับรู้และตระหนัก มันควรจะมีเคสที่เกิดขึ้นจริง แล้วทำให้เห็นว่า สิ่งที่หลายๆ คนพยายามเตือนมันไม่ใช่แค่เรื่องคิดมาก ไม่ใช่เรื่องของโลกสวยบนทุ่งลาเวนเดอร์ แต่มันคือเรื่องจริงที่มันเกิดขึ้นแล้ว เราเชื่อว่าพื้นฐานผู้ใหญ่รักเด็กและไม่อยากให้ผลกระทบแบบนี้เกิดขึ้นกับเด็ก ถ้าเขาเห็นชัดว่าผลกระทบเป็นอย่างไร มันก็สามารถจะช่วยแก้ปัญหาได้"


สุดท้ายแล้วปัญหาการละเมิดสิทธิเด็กจะไม่เกิดขึ้น หากไม่มีจุดเริ่มต้นที่การถ่าย โพสต์ แชร์ และพ่อแม่ผู้ปกครองคือกลุ่มบุคคลแรกที่ควรตระหนักและ "รักลูก" อย่างที่ควรจะเป็น


 

Shares:
QR Code :
QR Code