ระบบยาเข้าขั้นวิกฤต หลังพบคนไทยใช้ไม่เหมาะสม
สสส.เปิดตัวชี้วัด หวังกระตุ้นเปลี่ยนพฤติกรรม
“ยา” ถือว่าเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ที่จำเป็นต่อชีวิตคนเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถึงแม้จะสำคัญเป็นอันดับสี่ แต่ “ยา” ก็กลับเป็นปัจจัยที่คนเรา “ขาดไม่ได้” ประกอบกับทุกวันนี้ธุรกิจอุตสาหกรรมยาเจริญเติบโตมากขึ้น ยาชนิดเดียวกันมีหลากหลายผู้ผลิตทำให้ “ยา” สามารถหาได้ง่ายและตอบสนองความต้องการของคนเราได้อย่างแพร่หลายมากขึ้น ทำให้ปัจจุบันคนไทย “ใช้ยากันได้อย่างอิสระ” ส่งผลให้มีการบริโภคยาอย่างไม่เหมาะสมเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว…
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ผศ.ภญ.ดร.ยุพดี ศิริสินสุข รองผู้จัดการแผนงานสร้างกลไกเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา โดยการสนับสนุนจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ สสส. ได้กล่าวภายในงานเปิดตัว รายงานสถานการณ์ระบบยาประจำปี 2552 โดยผ่านตัวชี้วัดที่สำคัญ 7 กลุ่ม อาทิ 1.ธรรมาภิบาล 2.การพึ่งตนเองทางด้านยาของไทย 3.ความปลอดภัย 4.ความเป็นธรรมในระบบยา 5.คุณภาพ 6.การเข้าถึงยาจำเป็น และ 7.การใช้ยาอย่างเหมาะสมว่า จากข้อมูลที่มีในรายงานพบว่าประเทศไทยมีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับยาสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลกเกินกว่าที่ควรจะเป็น นั่นอาจเป็นเพราะอุตสาหกรรมยาไทยอยู่ในขั้นวิกฤติ เพราะยาในประเทศส่วนใหญ่มากกว่า 75 % ต้องพึ่งพายาสำเร็จรูปจากต่างประเทศ ส่วนที่เหลืออีก 25 % ซึ่งเป็นการผลิตในประเทศ ก็ต้องนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศมากกว่า 90 % และอีกหนึ่งเหตุผลคือ คนไทยมีการใช้ยาฟุ่มเฟือย เกินความจำเป็น ทั้งหมดนี้เป็นตัวบ่งชี้ว่าระบบยาในประเทศไทยไม่ได้ประสิทธิภาพเท่าที่ควร ส่งผลให้เกิดปัญหาการใช้ยาอย่างไม่เหมาะสมเกิดขึ้น
เห็นได้จากผลสำรวจของโครงการดูแลปัญหาการใช้ยาในผู้ป่วยเฉพาะรายในชุมชน เขตกทม. จำนวน 700 ราย พบว่าปัจจุบันประชาชนมีปัญหาการใช้ยาเป็นจำนวนมาก ซึ่งจากการลงพื้นที่ พบปัญหา อันดับแรกคือ ปัญหาการใช้ยาไม่ตรงตามแพทย์สั่ง เหตุเป็นเพราะการไม่เข้าใจเกี่ยวกับตัวยาที่ได้รับจากแพทย์ ทำให้รับประทานยาผิดพลาด เนื่องจากบางโรคต้องรักษาไปทีละอย่าง การที่ผู้ป่วยหยุดยาเองก็เป็นอีกหนึ่งปัญหา เนื่องจากผู้ป่วยเชื่อคำบอกเล่าจากคนรอบข้าง หรือคิดเองว่าตนเองหายจากอาการป่วยแล้วจึงหยุดยา การลืมรับประทานยา อาจเกิดขึ้นได้กับผู้ป่วยที่เป็นคนชรา อาจหลงลืมรับประทานไปบ้าง เมื่อเลยเวลาก็เลยไม่รับประทาน ทำให้รักษาเท่าไหร่ก็ไม่หายเสียที…
ปัญหาต่อไป…ปัญหาจากการได้รับยาซ้ำซ้อน เหตุเพราะผู้ป่วยไปรักษาพยาบาลหลายที่ แต่ไม่ได้ระบุกับแพทย์ในแห่งที่สอง เมื่อกลับมาก็รับประทานยาที่ทั้ง 2 แห่งให้มาร่วมกัน ซึ่งบางครั้งอาจเป็นยาตัวเดียวกันได้ ทำให้ได้รับยาที่เกิดความจำเป็น การใช้ยาเดิมซ้อนกับยาใหม่ เนื่องจากยาอาจมีการเปลี่ยนรูปลักษณ์หรือบรรจุภัณฑ์ เมื่อแพทย์ให้มาใหม่ก็คิดเองว่าเป็นยาคนละชนิด ก็นำมารับประทานร่วมกัน ทั้งที่จริงเป็นชนิดเดียวกัน ปัญหาการเก็บยาทุกครั้งที่รับการรักษามารวมกัน บางรายเมื่อไปรักษาหลายๆ ครั้ง ก็มียาเพิ่มมากขึ้น เมื่อหายก็นำยาที่เหลือในแต่ละครั้งมารวมๆ กันไว้ จนไม่สามารถแยกออกได้ว่ายาตัวไหนหมดอายุไปแล้ว ปัญหาการใช้ยาชุด หลังจากที่ลงพื้นที่กลับพบว่ายาชุดไม่ได้มีขายตามร้านยาเพียงอย่างเดียว แต่สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายของชำ หรือรถเร่ได้อีกด้วย ซึ่งนั่นมีกลุ่มตัวยาซ้ำซ้อนอยู่จำนวนมาก
สุดท้าย ปัญหาการใช้ยาสมุนไพร อาหารเสริมตามโฆษณา เพราะผู้ป่วยหลงเชื่อโฆษณาอวดอ้างจนทำให้เลือกที่จะหยุดยาจากแพทย์และหันไปพึ่งสมุนไพร อาหารเสริมเพียงอย่างเดียว…
และที่แย่กว่านั้น ยังพบการเข้าใจผิดในตัวยาของผู้ป่วยอีกด้วย เพราะยาบางตัวมีรูปเสียงพ้องกัน มีรูปแบบบรรจุภัณฑ์คล้ายกันทำให้เกิดความสับสนในการใช้ยา ทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนทางยา ส่งผลให้ผู้ป่วยรับประทานยาผิดประเภทได้อย่างไม่รู้ตัว…
นอกจากปัญหาทั้งหมดนี้แล้ว ยังพบอีกว่าผู้ป่วย 1 คน มีมูลค่าการใช้จ่ายยาประมาณไม่ต่ำกว่า 1,000 บาทต่อคนต่อเดือน และเฉลี่ย 1 คนมีการใช้ยาประมาณ 6.7 รายการ ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สูง โดยเฉพาะผู้ป่วยที่ใช้สิทธิเบิกจ่ายยาในระบบข้าราชการ ที่พบยาราคาแพง ที่หมดอายุในบ้านมีมูลค่าสูงถึง 70,000 บาท
หากยังคงปล่อยให้ปัญหาเหล่านี้อยู่ต่อไป อาจส่งผลร้ายอย่างหนักต่อสุขภาพคนไทยในอนาคตซึ่งแนวโน้มการใช้ยาของคนไทยจะถูกต้องหรือปลอดภัยขึ้นนั้น จำเป็นต้องใช้ความร่วมมือจากหลายฝ่าย ทั้งสถานพยาบาลต้องมีการประสานงานด้านข้อมูลการใช้ยาที่ถูกต้องกับผู้ป่วยและครอบครัว เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง
ที่สำคัญ ผู้ป่วยเอง จำเป็นต้องตระหนักถึงความสำคัญในการใช้ยา และปฏิบัติตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด เพื่อสุขภาพร่ายการที่ดี “ในอนาคต”
ที่มา : ณัฏฐ์ ตุ้มภ่ Team content www.thaihealth.or.th
Update:02-09-52
อัพเดทเนื้อหาโดย : ณัฏฐ์ ตุ้มภู่