ระบบขนส่งสาธารณะที่ปลอดภัย โจทย์รอแก้ไขหลังปลดล็อกดาวน์
ที่มา : ไทยโพสต์
ภาพประกอบจาก สสส.
วิกฤติการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในไทยเวลานี้บรรเทาลงไปมาก แม้จะยังไม่มีชัยชนะเหนือไวรัส แต่หลายจังหวัด รวมถึงกรุงเทพมหานคร ได้คลายล็อกดาวน์กลับมาเปิดเมืองอีกครั้ง ประชาชนเริ่มกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ เดินทางไปทำงาน ซื้ออาหาร จับจ่ายสินค้า พบปะเพื่อนฝูง ครอบครัว และญาติพี่น้อง แต่ความปกติเหล่านี้ไม่ทำให้ความหวาดผวาต่ออันตรายของโรคโควิด-19 จางหายไป ในทางกลับกัน ผู้ที่เดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะยังมีความกลัวต่อโรคระบาด ที่ตอนนี้ประชาชนมีพฤติกรรมการป้องกันตนเองลดลง ระวังไม่อยู่ใกล้คนอื่นน้อยลง และผู้ให้บริการไม่คุมจำนวนคนรับบริการ มีปัญหาแออัด เสี่ยงต่อการแพร่ของเชื้อไวรัส
เพื่อไม่ให้มีการระบาดของโควิดรอบที่สอง สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สนับสนุนให้เครือข่ายระบบขนส่งสาธารณะที่ปลอดภัยทุกคนเข้าถึงได้ดำเนินการลงพื้นที่สำรวจปัญหาระบบขนส่งมวลชนระหว่างวันที่ 1-8 พฤษภาคม 2563 กลุ่มเป้าหมาย 437 คน และสังเกตการณ์เพื่อเก็บข้อมูลการใช้บริการรถเมล์ 10 จุด ในชั่วโมงเร่งด่วน ผลสำรวจพบว่า คนส่วนใหญ่ยังคงเดินทางน้อยลง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุและคนพิการ ส่วนใหญ่เป็นผู้มีอายุระหว่าง 36-60 ปีมากที่สุดคือ ร้อยละ 64.9 ส่วนใหญ่เดินทางไปทำงาน รองลงมาคือ การไปซื้ออาหารและของใช้จำเป็น ปัญหาที่พบมากที่สุดคือ การมีรถให้บริการไม่เพียงพอ และการที่ผู้ใช้บริการต้องรอนานกว่าในช่วงปกติ รองลงมาคือ การไม่สามารถเว้นระยะห่างจากผู้โดยสารคนอื่นได้เมื่ออยู่ในยานพาหนะ
ภรณี ภู่ประเสริฐ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า ประชาชนส่วนใหญ่กังวลเรื่องการเว้นระยะห่างของผู้โดยสาร โดยเฉพาะรถตู้แถบชานเมืองในเวลาเร่งด่วน เพราะรับผู้โดยสารเต็มคัน โดยไม่มีการให้เว้นที่นั่ง รถเมล์บางสาย บางคันในช่วงเวลาเร่งด่วนมีผู้โดยสารจำนวนมาก ไม่สามารถจะเว้นระยะยืนห่างกัน 1-2 เมตรได้ ส่วนรถเมล์ร่วมบริการของเอกชน พบว่ามีการรับคนโดยไม่คำนึงถึงมาตรการเว้นระยะห่าง เช่นเดียวกับรถสองแถวที่มีผู้โดยสารนั่งและยืนเต็มคัน ส่วนเรือโดยสาร การขึ้น-ลงที่ท่าเรือ มีการกำหนดจุดให้เว้นระยะห่าง แต่ไม่สามารถปฏิบัติตัวตามมาตรการได้ นอกจากนี้ กังวลเรื่องการทำความสะอาดยานพาหนะที่ใช้บริการ และเจลแอลกอฮอล์ให้บริการไม่ทั่วถึง หากระบบขนส่งสาธารณะไม่ปฏิบัติตามมาตรการควบคุมป้องกันโรคอย่างเคร่งครัดอาจทำให้โควิด-19 กลับมาระบาดใหม่ได้
เมื่อผ่อนปรนมาตรการแล้ว แต่คนไทยและผู้ประกอบการปล่อยให้การ์ดตก ชีวิน อริยะสุนทรผู้ประสานงานเครือข่ายระบบขนส่งสาธารณะที่ปลอดภัย ทุกคนเข้าถึงได้ กล่าวว่า ภาคีเครือข่ายระบบขนส่งสาธารณะที่ปลอดภัย ทุกคนเข้าถึงได้ ภาคีเครือข่ายขนส่งมวลชนทุกคนต้องขึ้นได้ (T4A) ชุมชนคนรักรถเมล์ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค สถาบันส่งเสริมภาคประชาสังคม (สสป.) สมาพันธ์ศูนย์ประสานงานแรงงานนอกระบบแห่งประเทศไทย เครือข่ายสลัม 4 ภาค มูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัย (มพศ.) สมาคมสภาผู้สูงอายุแห่งประเทศไทยฯ เครือข่ายพลังผู้สูงวัย และกลุ่มปั้นเมือง ได้จัดทำข้อเสนอการบริหารจัดการระบบขนส่งสาธารณะในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ต่อศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) หรือ ศบค., กระทรวงคมนาคม, กรุงเทพมหานคร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใน 5 ประเด็น ถือเป็น 5 ข้อเสนอที่จะช่วยกระตุ้นระบบขนส่งสาธารณะให้ปฏิบัติตามมาตรการควบคุมโรค
ชีวิน อริยะสุนทร ผู้ประสานงานเครือข่ายระบบขนส่งสาธารณะที่ปลอดภัย ทุกคนเข้าถึงได้ กล่าวว่า สำหรับข้อเสนอ ประกอบด้วย 1.ความปลอดภัย ขอความร่วมมือผู้ให้บริการระบบขนส่งสาธารณะทุกประเภทให้ปฏิบัติตามมาตรการคัดกรอง ควบคุม ป้องกันโรคอย่างเคร่งครัด 2.ความเพียงพอ ขอให้มีการจัดระบบขนส่งสาธารณะให้เพียงพอและมีความถี่ที่สอดคล้องกับความต้องการใช้บริการ โดยเฉพาะในช่วงเวลาเร่งด่วนตอนเช้าและตอนเย็น 3.ความทั่วถึงและครอบคลุม ขอให้มีการจัดให้มีรถโดยสารประจำทาง และปรับเปลี่ยนแผนการเดินรถ ให้ครอบคลุมและทั่วถึงในแต่ละพื้นที่ให้มากขึ้น โดยเฉพาะชานเมืองและในเส้นทางที่ผู้ให้บริการรถร่วมเอกชนยุติการให้บริการลงเพราะวิกฤติโควิด-19
ข้อเสนอต่อมา 4.การให้บริการที่มีความเฉพาะกลุ่ม ขอให้ผู้ให้บริการขนส่งสาธารณะมีมาตรการเฉพาะแก่กลุ่มผู้โดยสารที่ต้องการความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ที่จำเป็นต้องสัมผัสใกล้ชิดกัน และเพิ่มความเสี่ยงที่จะติดหรือแพร่เชื้อ เช่น คนพิการทางการมองเห็น คนพิการที่ใช้รถเข็น ผู้สูงอายุ สตรีมีครรภ์ เด็ก เป็นต้น เพื่อให้สามารถปฏิบัติตามมาตรการเพื่อความปลอดภัยได้อย่างเท่าเทียมกัน 5.ราคาค่าโดยสารที่เป็นธรรม ขอให้มีมาตรการลดราคาค่าโดยสารระบบขนส่งสาธารณะลงเช่นเดียวกับค่าไฟฟ้าและประปา ส่งเสริมให้มีการใช้อีทิกเก็ต หรือระบบตั๋วร่วมของระบบขนส่งสาธารณะที่จะทำให้เกิดความสะดวกสบายในการเดินทางมากขึ้น และช่วยลดการสัมผัสเหรียญกษาปณ์และธนบัตรในการชำระค่าโดยสารในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19