รวมพลังชุมชนคนริม “มูน” สร้าง “วังปลา”
อนุรักษ์ธรรมชาติเพื่อฟื้นฟูคุณภาพชีวิต
ชุมชนบ้านฮ่องอ้อ ต.ท่าช้าง กิ่ง อ.สว่าง วีระวงศ์ จ.อุบลราชธานี เป็นชุมชน ที่อยู่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำมูน มีอาชีพหลักคือการทำประมงต่าง ๆ และมีวิถีชีวิต ที่ผูกพันอยู่กับป่าไม้และทรัพยากร ธรรมชาติริมชายฝั่ง โดยผู้ชาย ในหมู่บ้านจะมีหน้าที่หาปลา ส่วนผู้หญิงและเด็กในหมู่บ้านจะมีหน้าที่หาของป่าเพื่อนำไปขาย
แต่เมื่อสภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไปจากการบุกรุกของนายทุนเข้ามาดูดทรายในลำน้ำมูน รวมไปถึงการสร้างเขื่อนปากมูนที่ส่งผลกระทบต่อสภาพธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ชายบ้านจับปลาได้น้อยลง ตลิ่งและชายฝั่งรวมไปถึงป่าริมแม่น้ำก็พังทลาย
อย่างไรก็ตาม คนชุมชนฮ่องอ้อไม่ได้ยอมจำนนต่อชะตากรรม กลับลุกขึ้นมารวมตัวกันเพื่อฟื้นฟูและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติให้กลับคืนความอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง เพื่อให้ลูกหลานได้ใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืนต่อไป
จุดเริ่มต้นของการแก้ไขปัญหาของชุมชนฮ่องอ้อและชุมชนใกล้เคียงเริ่มต้นเมื่อชาวบ้านจำนวน 35 คน พากันเดินทางไปดูงานการทำวังปลาซึ่งประสบผลสำเร็จที่บ้านวังยาง ณ แม่น้ำมูน และบ้านแดงหม้อ ณ แม่น้ำชี ได้กลายเป็นแรงบันดาลใจให้เริ่มต้นลงมือทำวังปลาในแม่น้ำมูนอย่างจริงจัง โดยได้ขอความร่วมมือจากชาวบ้านอีกฝั่งหนึ่งมาร่วมกันทำอนุรักษ์พันธุ์ปลาให้มีได้กินได้จับจนชั่วลูกชั่วหลาน จนกระทั่งมีการทำวังปลาร่วมกัน ในช่วง พ.ศ. 2547
ซึ่งการทำ “วังปลา” ของชาวบ้านฮ่องอ้อเป็นการดำเนินงานของ “โครงการข้าวปลาอาหารอีสานมั่นยืน” ภายใต้ “โครงการฐานทรัพยากรอาหาร” ที่ทาง สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เข้าไปร่วมสนับสนุน
คุณวิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ ผู้จัดการแผนงานฐานทรัพยากรอาหาร สสส.กล่าวว่า การฟื้นฟูฐานทรัพยากรอาหารขึ้นมา ก็เท่ากับเป็นการฟื้นฟูอาหารที่มีคุณภาพ ชุมชนก็จะมีอาหารที่มีคุณภาพ มีคุณค่าทางโภชนาการ ซึ่งจะเป็นผลดีต่อทั้งชุมชนและสังคมโดยรอบ
“ประโยชน์ของการอนุรักษ์ฐานทรัพยากรอาหารที่เห็นได้ชัดๆ เลยก็คือ ครอบครัวเกษตรกรคนยากจนในประเทศไทย ค่าใช้จ่ายกว่าร้อยละ 50 ของเขาเป็นอย่างน้อยเป็นค่าใช้จ่ายในเรื่องอาหาร ที่นี้ถ้าเราลองนึกดูว่าร้อยละ 50 นี้ ถ้าเค้าสามารถสร้างระบบอาหารขึ้นมาได้เองโดยไม่ต้องพึ่งพาตลาดภายนอก มันจะสามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายตรงนี้ไปได้ครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว” นายวิฑูรย์ กล่าว
ซึ่งในเรื่องนี้ อาจารย์สุรสม กฤษณะจูทะ หัวหน้าโครงการข้าวปลาอาหารอีสานมั่นยืนจากคณะศิลปะศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี กล่าวถึงการดำเนินการและผลที่เกิดขึ้นต่อชุมชนบ้านฮ่องอ้อว่า “เรามีแนวคิดว่าจะทำอย่างไรให้เกิดการอนุรักษ์ทรัพยากรอาหารของตัวเอง เพื่อฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ให้กลับคืนมาและในยุค ข้าวยาก หมากแพง ชาวบ้านต้องพึ่งพาตนเองได้ เมื่อมีทรัพยากรที่สมบูรณ์ก็จะสามารถประกอบอาชีพเลี้ยงปากท้องได้ เมื่อมีอาหาร มีอาชีพ ชีวิตและครอบครัวก็เป็นสุข เชื่อมโยงกับแนวคิดสุขภาวะที่ดีและโครงการจะสำเร็จได้ชุมชนต้องเข้มแข็งและประโยชน์ที่ได้อีกอย่างหนึ่งคือ ความสัมพันธ์ที่ดีของคนในชุมชน ซึ่งการทำ วังปลาทำให้เกิดการร่วมมือกันของคนในชุมชน หลาย ๆ ชุมชน”
ด้าน นายนวล สารเพชร ผู้ใหญ่บ้านบ้านฮ่องอ้อ ได้เล่าถึงการทำวังปลาของชาวบ้านว่า วิธีคือนำท่อปูนที่แตกหักไปทิ้งไว้ในแม่น้ำเพื่อให้เป็นที่อยู่อาศัยหลบภัยของปลา ทำได้ 2 ปี ก็เห็นผลว่ามีปลาเยอะขึ้น ปีนี้เป็นปีที่ 4 มีปลามากมายอย่างเห็นได้ชัด สามารถจับได้ตลอดทั้งปี ตอนนี้ทุกคนในชุมชนรู้ว่าวังปลามีประโยชน์จริง จึงมีสมาชิกเยอะขึ้นจาก 20 คนเป็น 80 คน และเชื่อว่าในอนาคตจะมีปลาเยอะกว่านี้ และชาวบ้านก็จะหวงแหนมากกว่าทุกวันนี้ด้วย
การทำวังปลาของชาวบ้านฮ่องอ้อและชุมชนใกล้เคียงสองฝั่งแม่น้ำมูน ที่มีระยะทางยาวถึง 700 เมตร นอกจากจะเป็นการกันพื้นที่ส่วนหนึ่งในแม่น้ำมูนไว้เป็นแหล่งอนุรักษ์พันธุ์ปลาแล้ว ยังเป็นกุศโลบายเพื่อปกป้องรักษาสิทธิของชุมชนในการจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน โดยไม่ให้ใครเข้ามาบุกรุกทำลายได้โดยง่าย ซึ่งผลที่ได้เริ่มมีความชัดเจนมากขึ้นตามลำดับ ทั้งจำนวนปลาที่จับได้มากขึ้น พบปลาหลากหลายชนิดมากขึ้น จากแต่เดิมซึ่งบริเวณนี้ไม่เคยมีจับได้มาก่อน
คุณกลาง จันทร์สอน ชาวบ้านฮ่องอ้อ ซึ่งประกอบอาชีพทำประมงบอกว่า ตั้งแต่มีการทำวังปลาขึ้นมา ชาวบ้านสามารถจับปลาได้มากขึ้น และสามารถจับได้ทุกฤดู นอกจากนี้ยังพบปลาที่ไม่เคยจับได้ และได้หายไปจากบริเวณนี้มานานสิบปีอย่างปลากะโห้ อีกครั้ง
“แต่ก่อนมีปลาหลายชนิดแต่พอมีเรือดูดทรายปลาก็หายหมด วังปลาทำให้แม่น้ำอุดมสมบูรณ์ขึ้นปลามีจำนวนเยอะขึ้น ชาวบ้านจับได้ตลอด และล่าสุดมีคนจับปลากะโห้ได้ ซึ่งหายไปนานมาก เราก็เลยขอซื้อเขามาเพื่อจะเอาไปปล่อยในเขตวังปลา ปลาจะได้ขยายพันธุ์เพิ่มขึ้นอีก”
หัวใจสำคัญในการทำวังปลาให้ประสบผลสำเร็จ คือ การมีส่วนร่วมของชุมชนเพราะความสำเร็จดังกล่าวเกิดขึ้นจากความสามัคคีร่วมใจกันที่จะปกป้องทรัพยากรของตนเองที่ตนใช้หาอยู่หากิน ชาวบ้านจึงรู้สึกมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของวังปลา อีกทั้งชุมชนรอบข้าง คือ ชุมชนท่าช้าง ชุมชนปากน้ำ ชุมชนหนองสะโน ก็มาร่วมสร้างวังปลา วังปลาจึงมิได้เป็นของชุมชนใดชุมชนหนึ่งแต่เป็นของชาวบ้านทุกคน
ซึ่งผลจากการทำวังปลา นอกจากเรือดูดทรายไม่สามารถล่วงล้ำมาละเมิดอาณาเขตได้ และทรัพยากรสัตว์น้ำก็กลับคืนมามีความอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง ส่งผลดีต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของชุมชนริมแม่น้ำนอกจากนี้ ยังก่อให้เกิดเครือข่ายความร่วมมือระหว่างชุมชนที่เข้ามาช่วยกันปกปักรักษาแม่น้ำมูนให้เป็นมรดกของลูกหลานสืบต่อไปในอนาคต
“ผลที่ได้ไม่ใช่เพียงแค่ชาวบ้านจะสามารถจับปลาได้มากขึ้น แต่ยังเป็นเหมือนแหล่งอนุรักษ์พันธุ์ปลา ชาวบ้านจะช่วยเป็นหูเป็นตาให้กันและกัน และจากวังปลาก็ได้ขยายออกไปสู่เรื่องอื่น ๆ เช่นการอนุรักษ์พันธุ์ข้าวเพราะชาวนาไม่ได้มีชีวิตอยู่กับลำน้ำเพียงอย่างเดียว ปัจจุบันก็ได้กลายเป็นเครือข่ายอนุรักษ์ของจังหวัดอุบลราชธานี เป็นความหวังเป็นการจุดประกายสร้างความเข้มแข็งของชุมชน และท้ายที่สุดก็เป็นความมั่นคงด้านอาหารของประเทศ” คุณวิฑูรย์ เลื่อนจำรูญ ผู้จัดการแผนงานฐานทรัพยากรอาหารกล่าวสรุป
ที่มา : หนังสือเทคโนโลยีชาวบ้าน
update : 21-08-51