รวมพลังคนไทย เอาชนะภัยท้องถนน

ที่มา : หนังสือพิมพ์สยามรัฐ


ภาพประกอบจากแฟ้มภาพ


รวมพลังคนไทย เอาชนะภัยท้องถนน thaihealth


รายงานความปลอดภัยทางถนน 2018 ขององค์การอนามัยโลกชี้ว่า ไทยยังติดอันดับ 1 ใน 10 ประเทศที่มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนสูงที่สุดในโลกแม้จำนวนผู้เสียชีวิตจะลดลงจากปี 2017 คือจาก 24,237 คน เป็น 22,491 คน แต่นั่นก็เท่ากับว่า เฉลี่ยแล้วตลอดปีนี้มีคนเสียชีวิตบนถนนวันละ 61 คน นับเป็นทรัพยากรบุคคลจำนวนมหาศาลและสร้างผลกระทบต่อเนื่องอีกนับไม่ถ้วน


แม้หลายหน่วยงานในประเทศไทยจะพยายามแก้ไขปัญหานี้มาอย่างต่อเนื่องหากความพยายามแก้ไขปัญหาฯ ที่ผ่านมาอาจจะยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งองค์กรที่ขับเคลื่อนประเด็นสุขภาพในหลากหลายเรื่องมาอย่างยาวนาน และได้ร่วมกับภาคีเครือข่ายขับเคลื่อนมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 2 พ.ศ. 2552 ว่าด้วย "การแก้ไขอุบัติเหตุทางถนน" มาอย่างต่อเนื่อง จึงตั้งเป้าหมายทุ่มสรรพกำลังในการร่วมแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุในปี 2562 ผ่านโครงการ รวมพลังคนไทยเอาชนะภัยท้องถนน สร้างการมีส่วนร่วมจากประชาชนคนทั่วไปในการแก้ปัญหาอุบัติเหตุทางถนน ผ่านกระบวนการที่เรียกว่า "Mind storming"


นพ.พลเดช ปิ่นประทีป เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า สช.ไม่ใช่องค์กรรณรงค์ ไม่ใช่หน่วยปฏิบัติ หน้าที่ของเราคือสร้างกระบวนการมีส่วนร่วมในนโยบายสาธารณะ หากเราแสดงบทบาทแล้ว หนุนเสริมให้องค์กรที่ทำเรื่องนี้อยู่แล้วโดดเด่นขึ้น มีความสำเร็จสูงขึ้น นั่นก็คือความสำเร็จของเรา เพราะท้ายที่สุดมันช่วยแก้ปัญหาของประเทศนี้ได้ เราจึงตั้งชื่อโครงการง่ายๆ ว่า รวมพลังคนไทยเอาชนะภัยท้องถนน คอนเซปต์หลักอยู่ตรงที่การรวมพลังคนไทย เพราะปัญหานี้เกี่ยวข้องกับทุกคน และขนาดของปัญหาในปัจจุบันนั้นใหญ่มาก


รวมพลังคนไทย เอาชนะภัยท้องถนน thaihealth


"ความตั้งใจของ สช.ที่ยกประเด็นการแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนนเป็นประเด็นเรือธง (Flagship) ขององค์กรในปี 2562 เนื่องจากอุบัติเหตุเป็นสาเหตุการตายของคนไทยในลำดับต้นๆ มานานแล้ว ซึ่งหากเปรียบเทียบกับปัญหาอื่นๆ จะพบว่า ปัญหาอุบัติเหตุทางถนนเป็นประเด็นที่ไม่มีคำถาม ไม่มีจำเลย และเป็นปัญหาที่ตกลงจนสุดเหวแล้วและแม้สถิติของประเทศไทยจะขยับลงจากอันดับ 2 เป็นอันดับ 9 ของโลกด้านอุบัติเหตุทางถนน แต่สถิติผู้เสียชีวิตจากจักรยานยนต์ของไทยก็ยังคงเป็นอันดับ 1 ของโลก" นพ.พลเดช กล่าว


โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องล้วนให้ความสำคัญกับเรื่องนี้และมีการทำงานอย่างแข็งขัน ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล หน่วยงานของรัฐ และภาคเอกชนที่ร่วมกันรณรงค์ลดอุบัติเหตุทางถนน สนับสนุนการตรวจเฝ้าระวัง และการพัฒนาถอดความรู้จากพื้นที่ต้นแบบ หากจุดที่อ่อนที่สุดคือ สังคม พฤติกรรมเสี่ยงทั้งหลายของคนแทบไม่เปลี่ยน คนไทยใส่ใจเรื่องความปลอดภัยของตัวเองน้อยไป วินัยหย่อนยาน การบังคับใช้กฎหมายแบบไทยๆ มีข้อยกเว้นโดยตลอด ส่วนการรณรงค์ของรัฐก็มีลักษณะสั่งการจากบนลงล่าง (top-down) อย่างมากซึ่งเป็นเป้าหมายที่ สช.ต้องการจะเข้าไปทำงานด้วย


นพ.พลเดช อธิบายต่อว่า การเคลื่อนสังคม ต้องทำให้สังคมปรับเปลี่ยนเจตคติเปลี่ยนพฤติกรรม โดยเปลี่ยนจาก "คนดู" เป็น "ผู้แสดง" การจะให้ประชาชนลุกมาปฏิบัติการได้ต้องใช้เทคนิคกระบวนการที่ทำให้เกิด "การระเบิดจากภายใน" เป็นกระบวนการสร้างการมีส่วนร่วมแบบเป็นธรรมชาติโดย สช. จะใช้เทคนิคที่เรียกว่า "Mind Storming" ซึ่งไม่ได้เอาปัญหาเป็นตัวตั้งแต่เริ่มต้นจากใจถึงใจก่อน แล้วจึงเข้าสู่ประเด็นว่าคุณมีญาติพี่น้องตายจากอุบัติเหตุไหมเราจะแก้ปัญหากันยังไงดี


รวมพลังคนไทย เอาชนะภัยท้องถนน thaihealth


"ทั้งนี้ กลุ่มคนที่ สช. เตรียมการเข้าไปปลุกพลัง จะเป็นกลุ่มเสี่ยง คนชายชอบและผู้ได้รับผลกระทบ อาทิ กลุ่มนักเรียนอาชีวะ วินมอเตอร์ไซค์ ญาติพี่น้องของคนที่ประสบอุบัติเหตุ เป็นต้น โดยระดมความคิดริเริ่มของคนแต่ละกลุ่มในการจัดการพื้นที่ตัวเอง และมีการทำกิจกรรมที่เป็นรูปธรรมเช่น การรวมตัวสำรวจจุดเสี่ยงในพื้นที่ จุดไหน โค้งร้อยศพ ทางแยกที่รถชนกันบ่อยเป็นต้น โดยนำสถิติมาสอบถามกับผู้คนในชุมชนอีกครั้ง ซึ่งขั้นตอนนี้จะเปลี่ยนชาวบ้านในชุมชนที่เคยเป็นเพียง "ผู้ชม" หรือ "คนดู" ให้เป็น "ผู้แสดง" หรือเป็นคนที่มีส่วนร่วมในปฏิบัติการ แล้วระดมแนวทางการแก้ปัญหา ก่อนจะนำข้อเสนอที่ได้ไปพูดคุยกับส่วนงานที่เกี่ยวข้อง"  นพ.พลเดช ระบุ


ปฏิบัติการนี้จะก่อให้เกิดสิ่งที่เรียกว่าการร่วมคิดร่วมทำระหว่างประชาชนกับรัฐหรือ co-management โดยประชาชนเป็นคนลุกไปหาเจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อการแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนนร่วมกัน


เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กล่าวต่อว่า ในช่วงแรกจะเป็นขั้นเตรียมความพร้อม เตรียมทีม เตรียมวิทยากรเตรียมกระบวนการที่จะทำ Mind Storming ในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ รวมถึงเตรียมข้อมูลสถิติที่มีอยู่เพื่อส่งต่อให้กับภาคีต่างๆ ในระดับพื้นที่


อย่างไรก็ตาม โดยในปี 2562-2563 สช. จะนำเรื่องดังกล่าวมาหารือกับหน่วยงานภาคีระดับชาติ เช่น กระทรงสาธารณสุข, สสส., สปสช., สพฉ. ฯลฯ โดยจะใช้พื้นที่ประจำ คือ วงเสวนา Road Safety Forum เป็นการคุยในหมู่องค์กรเชิงยุทธศาสตร์ทั้งรัฐและภาคประชาสังคมทุกๆ 2 เดือน ซึ่งจะต้องมีสถิติ มีตัวชี้วัดมาแสดง ในเวทีจะมีการชื่นชมกรณีศึกษาดีๆ จากทุกส่วนเพื่อให้ต่างคนต่างเอาไปปรับประยุกต์ใช้ได้เลย ไม่ต้องรอคำสั่ง ไม่ทำเฉพาะเทศกาลแต่จะทำงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อแก้ไขคลาสสิกหายนะที่คร่าชีวิตคนไทยมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน

Shares:
QR Code :
QR Code