รณรงค์ ‘รักเป็น ปลอดภัย ใส่ใจคนรัก’
กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข จัดกิจกรรม“Young Love รักเป็น ปลอดภัย ใส่ใจคนรัก”เพื่อรณรงค์ สร้างความตระหนักให้วัยรุ่นมีความรักให้เป็นและปลอดภัย ต้องป้องกันการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และ การตั้งครรภ์ไม่พร้อมในวัยรุ่น พร้อมชวนคนไทยแสดงความรักด้วยการกอด สร้างความอบอุ่นในครอบครัว
ดร.นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมอนามัย เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดงาน“Young Love รักเป็น ปลอดภัย ใส่ใจคนรัก” ณ Grand Hall Siam Discovery ว่า เมื่อถึงช่วงเทศกาล วันวาเลนไทน์ สังคมมักจับตามองกลุ่มวัยรุ่นที่มักใช้โอกาสนี้แสดงความรักต่อกันที่ไม่เหมาะสมด้วยการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร ทำให้เสี่ยงต่อการมีเพศสัมพันธ์แบบชั่ววูบ นำไปสู่การตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ ส่งผลให้เกิดปัญหาการทำแท้ง และปัญหาต่างๆในสังคมตามมา จากการสำรวจพบว่า วันวาเลนไทน์ วัยรุ่นนิยมมีเพศสัมพันธ์กับแฟน เพื่อพิสูจน์ความรัก ดังที่มีการนำเสนอของสื่อต่างๆ และข้อมูลจากสำนักระบาดวิทยากรมควบคุมโรค พ.ศ. 2556 พบว่า อัตราป่วยโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในวัยรุ่นและเยาวชน อายุ 15 – 24 ปี สูงถึง 52.2 ต่อประชากรวัยรุ่นและเยาวชนอายุ 15 – 24 ปี แสนคน และวัยรุ่นใช้ถุงยางอนามัยเมื่อมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกเพียงร้อยละ 60
ข้อมูลจากสำนักอนามัยการเจริญพันธุ์ พบว่า สถิติการคลอดของวัยรุ่นอายุ ต่ำกว่า 15 ปี พ.ศ. 2543 มี 4 คนต่อวัน เพิ่มขึ้นเป็น 9 คนต่อวัน ใน พ.ศ. 2556 และข้อมูลการแท้งในประเทศไทย พ.ศ. 2556 พบว่า ผู้ป่วยทำแท้ง ร้อยละ 40.6 มีสถานภาพเป็นนักเรียนและนักศึกษา ร้อยละ 29.0 อายุต่ำกว่า 20 ปี และร้อยละ 60.5 อายุต่ำกว่า 25 ปี การมีพฤติกรรมเสี่ยงในเรื่องเพศและการตั้งครรภ์ไม่พร้อมในวัยรุ่น ส่งผลกระทบทั้งด้านสุขภาพ การเรียน ครอบครัว สังคม เศรษฐกิจ และการพัฒนาประเทศ อีกทั้งทารกที่เกิดจากแม่วัยรุ่นมักมีน้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์และปัญหาด้านสุขภาพ หากวัยรุ่นไม่ต้องการตั้งครรภ์ต่อ บางรายอาจจะไปทำแท้งที่ไม่ปลอดภัย คลอดแล้วทิ้ง
ในปัจจุบันพบว่า มีทารกถูกทอดทิ้งเป็นจำนวนมากที่ต้องอยู่ในสถานรับเลี้ยงเด็ก กรณีวัยรุ่นต้องการตั้งครรภ์ต่อก็จะมักจะกลายเป็นแม่ที่ต้องเลี้ยงลูกคนเดียว ฝ่ายชายมักจะปฏิเสธความรับผิดชอบ ดังนั้น วัยรุ่นทุกคนต้องตระหนักในเรื่องความรัก รู้จักหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง มีพฤติกรรมที่เหมาะสมกับวัย ศึกษาหาความรู้ที่ถูกต้องในเรื่องเพศ ทักษะการต่อรอง และทักษะการปฏิเสธ ต้องรักให้เป็นและปลอดภัย ด้วยการป้องกันการติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และป้องกันการตั้งครรภ์ไม่พร้อมด้วยการใช้วิธีคุมกำเนิดที่เหมาะสมสำหรับวัยรุ่น
อธิบดีกรมอนามัย กล่าวต่อไปว่า วัยรุ่นหลายคู่จึงหาทางออกด้วยการใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดฉุกเฉิน เพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ ทั้งที่จริงแล้วยาคุมกำเนิดแบบฉุกเฉินจะมีความแตกต่างจากการคุมกำเนิดตามปกติ และจะเป็นอันตรายต่อผู้หญิงที่ใช้ยาคุมกำเนิดประเภทนี้ในระยะยาวได้ ดังนั้น เพื่อให้การมีเพศสัมพันธ์มีความปลอดภัยมากขึ้นควรป้องกันโดยใช้ถุงยางอนามัย ร่วมกับวิธีคุมกำเนิดอย่างอื่น เช่น ยาเม็ด ยาฉีดคุมกำเนิด ที่สามารถหาซื้อได้จากร้านขายยา หรือขอรับการปรึกษาและรับบริการจากสถานบริการของรัฐ สิ่งที่จะเป็นเกราะป้องกันการตั้งครรภ์ไม่พร้อมในวัยรุ่น คือต้องรู้จักควบคุมอารมณ์ของตนเอง รวมทั้งควรเปลี่ยนมุมมองในเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร ผู้หญิงต้องรู้จักการปฏิเสธ และผู้ชายต้องมีความรับผิดชอบในกรณีที่เกิดการตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์ เพราะหากผู้หญิงโดนทอดทิ้งในขณะตั้งครรภ์ อาจเกิดการตัดสินใจยุติการตั้งครรภ์ด้วยการทำแท้ง ที่ก่อให้เกิดปัญหาทางด้านสังคมตามมา ดังนั้นวัยรุ่นชายหญิงจึงควรหากิจกรรมต่างๆ หรือออกกำลังกายเป็นประจำในช่วงที่มีเวลาว่างเพื่อไม่ให้หมกมุ่นในเรื่องดังกล่าวมากจนเกินไป หากหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ไม่ได้ วัยรุ่นชายควรใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งให้ถูกต้อง หรือหากมีปัญหาในเรื่องการคุมกำเนิด สามารถปรึกษาได้ที่ร้านขายยาที่เข้าร่วมโครงการ Be sure ปรึกษาได้ มั่นใจชัวร์ โดยจะมีเภสัชกรให้ความรู้และคำแนะนำที่ถูกต้อง
“วันวาเลนไทน์ปีนี้ กรมอนามัยขอเชิญชวนให้วัยรุ่นหันมาสนใจสร้างความรักให้เกิดขึ้นระหว่างคนในครอบครัว ความรักระหว่างเพื่อน และความรักระหว่างมนุษย์ด้วยกัน พร้อมทั้งการบอกรักด้วยการกอดสัมผัสที่มีความพิเศษ เป็นการสร้างสัมพันธภาพที่ดีต่อกัน ผลจากการศึกษาวิจัยของต่างประเทศระบุว่า บุคคลที่ได้รับการกอด หรือกอดผู้อื่น จะไปกระตุ้นการทำงานของฮีโมโกบิน ทำให้การลำเลียงออกซิเจนไปเลี้ยงเนื้อเยื่อส่วนต่างๆ ได้อย่างทั่วถึง เกิดความสดชื่น มีชีวิตชีวา ซึ่งนางเวอร์จิเนีย ซาเทียร์ นักบำบัดจิตวิทยาครอบครัว ชาวแคนาดา ที่มีชื่อเสียงระดับโลก พบว่า คนเราต้องการการกอดวันละ 4 ครั้ง เพื่อการดำรงชีวิต วันละ 8 ครั้งเพื่อการดำเนินชีวิต และวันละ 12 ครั้ง เพื่อจิตใจและการเจริญเติบโตของร่างกาย
การกอดกันวันละครั้งจะทำให้ห่างไกลจากการพบแพทย์ และยังเป็นการเพิ่มระดับของฮอร์โมนออกซิโตซิน (oxytocin) ทำให้ผู้ถูกกอดอบอุ่นและเป็นสุข ลดการหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอล (cortisol) ที่ก่อให้เกิดความเครียด นอกจากนี้ยังจะช่วยกระตุ้นให้สมองหลั่งสารโดปามีน (dopamine) เป็นสารที่ก่อให้เกิดความสุข ความพึงพอใจ ความปิติยินดี ความกระฉับกระเฉงมากขึ้น และยังหลั่งสารแห่งความสุขอื่นอีก ได้แก่ เอนโดฟิน (endorphin) และเซโรโทนิน (serotonin) ที่มีส่วนช่วยลดอัตราการเต้นของหัวใจและระบบภูมิต้านทานในร่างกายได้ดีขึ้น ทำให้ร่างกายจะกระปรี้กระเปร่าแข็งแรง สุขภาพดีขึ้น ช่วยรักษาภาวะซึมเศร้า ลดความเครียด นอกจากนั้น การกอดทารกมีส่วนช่วยกระตุ้นและเพิ่มอีคิวให้กับเด็ก และการโอบกอดผู้สูงอายุด้วยความรักจากคนใกล้ชิดทำให้ผู้สูงอายุมีสุขภาวะดีขึ้น มีความกระตือรือร้น บรรเทาการเจ็บป่วย ซึมเศร้า ความวิตกกังวล ทำให้รู้สึกว่าคุณภาพชีวิตดีขึ้น
อธิบดีกรมอนามัย กล่าวในตอนท้ายว่า การกอดไม่ได้จำกัดขอบเขตเพียงกับเด็กหรือระหว่างหนุ่มสาวเท่านั้น แต่ผู้สูงอายุก็ต้องการการโอบกอดด้วยความรักจากคนใกล้ชิด เพราะการกอดคือภาษากายที่สื่อสารออกไปว่ายังรักและเห็นความสำคัญของผู้สูงอายุอยู่เสมอ การกอดจึงช่วยเติมความรู้สึกอ้างว้างภายในจิตใจได้เป็นอย่างดี เพราะผู้สูงอายุทุกคนล้วนอยากได้รับความรักจากลูกหลาน และจะรู้สึกดีอย่างแน่นอนเมื่อถูกกอด เพราะการกอดทำให้รู้ว่าลูกหลานยังรักและเห็นความสำคัญอยู่เสมอ การบอกรักไม่เพียงแต่การกอด การแสดงออกด้วยการตัดเล็บมือ เล็บเท้า และล้างเท้าให้พ่อแม่ถือเป็นการแสดงความรัก ความใส่ใจเรื่องความสะอาดและสร้างสุขอนามัยที่ดี เพราะเมื่ออายุมากขึ้น การดูแลสุขภาพตนเองก็จะลดน้อยลงอีกด้วย
ที่มา : สำนักสารนิเทศ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต