รณรงค์สวมหมวกกันน็อกลดเจ็บ-ตาย "ชาว 2 ล้อ"
ที่มา : แนวหน้า
ภาพโดย สสส.
"มอเตอร์ไซค์" หรือจักรยานยนต์ ถือเป็น "พาหนะยอดนิยม" ของคนไทย ดังข้อมูลของกรมการขนส่งทางบกระบุว่า ณ สิ้นปี 2561 มีมอเตอร์ไซค์จดทะเบียนในประเทศไทยราว 20.8 ล้านคัน และในปี 2561 เพียงปีเดียว มีมอเตอร์ไซค์จดทะเบียนใหม่ราว 1.9 ล้านคัน
ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าในประเทศไทยระบบขนส่งสาธารณะไม่ค่อยสะดวกเท่าใดนัก ทำให้ใครที่มีกำลังทรัพย์ก็มักจะ ยอมกัดฟันผ่อนพาหนะส่วนตัว ถ้าไม่ใช่รถยนต์ 4 ล้อ ก็จะเป็นมอเตอร์ไซค์ 2 ล้อ มาใช้เพื่อความสะดวก และมอเตอร์ไซค์นั้นก็มีราคาไม่แพง ผู้มีรายได้น้อยยังเข้าถึงได้ง่าย
เมื่อมอเตอร์ไซค์กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนไทย การรณรงค์ให้สวม "หมวกกันน็อก" หรือหมวกนิรภัย จึงดำเนินมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่มีการออก "กฎกระทรวงฉบับที่ 14 (พ.ศ.2535) ออกตามความใน พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522" กำหนดให้ "ทั้งผู้ขับขี่และผู้ซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์ต้องสวมหมวกกันน็อก" ซึ่งนับถึง ณ วันนี้ก็ผ่านมาแล้วเกือบ 3 ทศวรรษ มีความเปลี่ยนแปลงทั้งที่ดีขึ้นและที่ยังต้องปรับปรุง
ปลายเดือน ก.ค. 2562 ที่ผ่านมา มีการแถลงข่าว "ผลสำรวจอัตราการสวมหมวกนิรภัย ของผู้ใช้รถจักรยานยนต์ ประจำปี พ.ศ.2561" ณ รร.แกรนด์ เมอร์เคียว กรุงเทพ ฟอร์จูน ซึ่ง นพ.วีระพันธ์ สุพรรณไชยมาตย์ รองประธานกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้กล่าวในตอนเปิดงานว่า "ความสูญเสีย ที่เกิดจากอุบัติเหตุทางถนนของประเทศไทยในแต่ละปีนั้นส่วนหนึ่งเป็นการเสียชีวิตจากการบาดเจ็บที่ศีรษะของผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์" และหมวกกันน็อกเป็นอุปกรณ์สำคัญที่จะลดความสูญเสียนี้ได้
"แม้ว่าในปี 2554 รัฐบาลได้กำหนดให้เป็น "ปีแห่งการรณรงค์สวมหมวกนิรภัย 100%" แต่ผลการสำรวจของมูลนิธิไทยโรดส์ตั้งแต่ปี 2553 จนถึงปัจจุบันสะท้อนให้เห็นว่า "อัตราการสวมหมวกนิรภัยของใช้รถจักรยานยนต์ทั้งประเทศยังคงมีแนวโน้มคงที่ ไม่ถึงร้อยละ 50" ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ที่ค่อนข้างต่ำหากเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านแถบอาเซียนด้วยกัน" นพ.วีระพันธ์ กล่าว
ขณะที่ ณัฐพงศ์ บุญตอบ กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการมูลนิธิไทยโรดส์ (ThaiRoads Foundation) เปิดเผยถึงการสำรวจพฤติกรรมการสวมหมวกนิรภัยของผู้ใช้มอเตอร์ไซค์ โดยเก็บข้อมูลจากประชาชนจำนวน 1,529,808 คน ทั้งในเขตเทศบาลนคร เทศบาลเมือง และเทศบาลตำบล ครอบคลุมพื้นที่ 77 จังหวัดทั่วประเทศไทย ได้บทสรุป ดังนี้ 1.ในภาพรวมมีผู้สวมหมวกนิรภัยเพียง ร้อยละ 45 แบ่งเป็นผู้ขับขี่และผู้โดยสารสวมหมวกนิรภัยเพียงร้อยละ 52 และร้อยละ 22 ตามลำดับ
2.พื้นที่ที่ผู้ใช้มอเตอร์ไซค์สวมหมวกนิรภัยสูงสุดของแต่ละภาค 3 ปี ย้อนหลัง (2559-2561) ได้แก่ ภาคเหนือ จ.เชียงใหม่ ร้อยละ 53 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จ.สุรินทร์ ร้อยละ 46 ภาคกลางและตะวันออก (ไม่รวม กทม.)จ.นนทบุรี ร้อยละ 59 และภาคใต้ จ.ภูเก็ต ร้อยละ 61 นอกจากนี้จังหวัดที่มีพัฒนาการของอัตราการ สวมหมวกนิรภัยเพิ่มขึ้นดีเด่น (3 ปีย้อนหลัง) ในเขต ชุมชนเมือง ได้แก่ ภาคเหนือ จ.แพร่ ร้อยละ 69 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จ.หนองบัวลำภู ร้อยละ 66 ภาคกลางและภาคตะวันออก จ.ระยอง ร้อยละ 56 และ ภาคใต้ จ.นครศรีธรรมราช ร้อยละ 75
และจังหวัดที่มีพัฒนาการของอัตราการสวมหมวกนิรภัยเพิ่มขึ้นดีเด่น (3 ปีย้อนหลัง) ในเขต ชุมชนชนบท ได้แก่ ภาคเหนือ จ.เพชรบูรณ์ ร้อยละ 56 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จ.สุรินทร์ ร้อยละ 41 ภาคกลางและภาคตะวันออก จ.สระบุรี ร้อยละ 45 และ ภาคใต้ จ.ภูเก็ต ร้อยละ 50 และอัตราการสวมหมวกนิรภัยในกลุ่มผู้โดยสารสูงสุด ปี 2561 ได้แก่ กรุงเทพมหานคร ร้อยละ 55
3.ผู้สวมหมวกนิรภัยจำแนกตามกลุ่มอายุรวมผู้ขับขี่และผู้โดยสาร พบว่า กลุ่มผู้ใหญ่สวมหมวกนิรภัย ร้อยละ 48 กลุ่มวัยรุ่น ร้อยละ 22 อย่างไรก็ตาม "กลุ่มเด็กเฉพาะผู้โดยสารมีการสวมหมวกกันน็อกเพียงร้อยละ 8 เท่านั้น" อนึ่ง เมื่อเปรียบเทียบบริบทพื้นที่การสำรวจพบว่า อัตราสวมหมวกนิรภัยของผู้ใช้รถจักรยานยนต์ ทั้งผู้ขับขี่และผู้โดยสารในเขตเมืองใหญ่ ร้อยละ 78 เขตเมืองรอง ร้อยละ 45 และเขตชุมชนชนบทเพียงร้อยละ 31 เท่านั้น
ณัฐพงศ์ กล่าวต่อไปว่า ส่วนกรุงเทพฯ นั้นเป็นเมืองขนาดใหญ่และมีความเข้มงวดในเรื่องของการบังคับใช้กฎหมายอยู่แล้ว เห็นได้จากกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ร่วมกับภาคีต่าง ๆ ได้ประกาศนโยบาย "กรุงเทพมหานคร เมืองต้นแบบ สวมหมวกนิรภัย 100%" และดำเนินการตลอดปี 2561 ส่งผลให้ผู้ใช้รถจักรยานยนต์ในเขตกรุงเทพฯ สวมหมวกนิรภัยสูงถึง ร้อยละ 85 โดยเฉพาะในกลุ่มผู้โดยสารที่มีการสวมหมวกนิรภัยเพิ่มสูงขึ้นจากร้อยละ 39 ในปี 2560 เป็นร้อยละ 55 ในปี 2561 ซึ่งสูงที่สุดในประเทศ
ด้าน พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รองผู้บังคับบัญชาตำรวจนครบาล กล่าวเสริม ถึงมาตรการเข้มงวดด้านการบังคับใช้กฎหมาย สวมหมวกกันน็อกในกรุงเทพฯ อันเป็นพื้นที่รับผิดชอบ ของ บช.น. ว่า เรื่องของหมวกกันน็อกจะควบคู่กับการใช้กฎหมายจึงเป็นงานของตำรวจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งผู้ขับขี่และผู้ซ้อนรถจักรยานยนต์จะมีจิตสำนึกอยู่แล้วว่า "ถ้าไม่ใส่หมวกนิรภัยถือว่าทำผิดกฎหมาย ถูกจับอย่างแน่นอน" โดยเริ่มกวดขันมาตั้งแต่ปี 2554 นอกจากนี้ยังนำเทคโนโลยีมากวดขันวินัยจราจรอื่น ๆ เช่น กล้องตรวจจับการฝ่าไฟแดงหรือเปลี่ยนช่องทางในจุดห้าม
ถึงกระนั้น "ลำพังตำรวจจะทำเองเพียงหน่วยงานเดียวคงไม่เพียงพอ ต้องอาศัยภาคส่วนอื่น ๆ ด้วย" ดังความเห็นของ พ.ต.อ.สรัลพัฒน์ ยศสมบัติ รองผู้บังคับการตำรวจภูธร จ.ระยอง ที่ยกตัวอย่าง "เขตโรงงาน-นิคมอุตสาหกรรม" ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมากใน จ.ระยอง ว่า "ผู้ประกอบการ ต้องมีมาตรการจูงใจอีกทางหนึ่ง" เพื่อให้ผู้ใช้แรงงานที่จำนวนมากก็ใช้งานมอเตอร์ไซค์ในชีวิตประจำวันอยู่แล้วสวมหมวกกันน็อกจนเป็นนิสัย
"บริษัทควรสนับสนุนและส่งเสริม 1.สร้างมาตรการองค์กรให้เกิดขึ้นทุก ๆ หน่วยงาน เพื่อสร้างองค์กรต้นแบบในการรณรงค์ส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัย 100% เช่น ถ้าใครโดนจับ เพราะไม่สวมหมวกนิรภัย จะถูกหักเงินเดือนหรือถูกหักโบนัส เป็นต้น 2.ขับเคลื่อนทั้งองค์กรเพื่อให้เกิดการปฏิบัติจริงด้วยความต่อเนื่องและจริงจัง ผ่านการประสานความร่วมมือกับหน่วยงาน รัฐอย่างสถานีตำรวจ เพื่อเป็นการสร้างจิตสำนึกให้คนไทยสวมหมวกนิรภัยเมื่อขับขี่และซ้อนรถ จักรยานยนต์ เพื่อหลีกเลี่ยงจากอุบัติเหตุเพื่อไม่ให้ เกิดการสูญเสียขึ้น" พ.ต.อ.สรัลพัฒน์ กล่าว