รณรงค์ลดการหักซ้ำของกระดูกสะโพกในผู้สูงอายุ
ที่มา: หนังสือพิมพ์แนวหน้า
แฟ้มภาพ
โรคกระดูกพรุน ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในปัญหาโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (Non-Communicable Disease หรือ NCDs) ที่นับว่ามีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าโรคร้ายแรงอื่นๆ เพราะแม้ว่าจะเป็นโรคที่ไม่สามารถมองเห็น หรือไม่รู้สึกเจ็บปวดได้อย่างชัดเจนในขณะที่มวลกระดูกกำลังลดลงเรื่อยๆ จากภาวะกระดูกพรุน แต่เรียกได้ว่าเป็น "ภัยเงียบ" ที่ก่อให้เกิดภาวะที่รุนแรงตามมาจากอาการกระดูกหักได้ เพราะความเปราะบางของกระดูก ส่งผลให้เกิดการบาดเจ็บ ภาวะกระดูกหักซ้ำ (Capture the Fractures) ทุพพลภาพและอาจนำไปสู่การเสียชีวิตได้ในที่สุด
กระทรวงสาธารณสุขและราชวิทยาลัยแพทย์ออร์โธปิดิกส์แห่งประเทศไทย ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของอันตรายจากภาวะดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ในปีนี้จึงได้ร่วมกันจัดตั้ง โครงการรณรงค์ลดการหักซ้ำของกระดูกสะโพกในผู้สูงอายุ เพราะนับเป็นปัญหาที่สำคัญของภาวะโรคกระดูกพรุนและเนื่องใน "วันกระดูกพรุนโลก" ในวันที่ 20 ตุลาคม ของทุกปี ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาระบบสาธารณสุขและการแพทย์ไทยไปสู่ยุค 4.0 ที่มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้ประชาชนมีสุขภาพดี
ศ.คลินิก เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทรรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้ร่วมกับ ราชวิทยาลัยแพทย์ออร์โธปิดิกส์แห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในราชวิทยาลัยแพทย์/วิทยาลัยวิชาชีพของประเทศไทย ซึ่งเป็นองค์กรสูงสุดของการฝึกอบรมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ที่มีองค์ความรู้ การสร้างนวัตกรรม และมีสมาชิกทั่วประเทศ ร่วมกันหารือถึงความร่วมมือในการดำเนินงานด้านการผลิตและพัฒนาบุคลากรทางการแพทย์ พัฒนาระบบบริการแก่ประชาชน และความร่วมมืออื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ รวมถึงร่วมกันขับเคลื่อนการดำเนินงานให้เกิดผลเป็นรูปธรรมขึ้น ซึ่งในปีนี้ได้จัดตั้ง โครงการรณรงค์ลดการหักซ้ำของกระดูกสะโพกในผู้สูงอายุ เนื่องจากปัญหาการหักซ้ำของกระดูกสะโพก อันเนื่องมาจากภาวะโรคกระดูกพรุน สามารถนำไปสู่ความพิการและเสียชีวิตในอัตราที่สูง ทั้งนี้ เพื่อให้ประชาชนมีความรู้ ความเข้าใจในการป้องกัน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่จะสามารถนำไปดูแลสุขภาพของตัวเองให้ดียิ่งขึ้น
โดยปกติแล้วตั้งแต่วัยเด็ก กระดูกในร่างกายจะมีการสร้างเซลล์ใหม่และสลายเซลล์กระดูกเก่าอยู่ตลอดเวลา ซึ่งอัตราการสร้างเซลล์กระดูกใหม่จะมีสูงมาก ต่อมาเมื่ออายุ 25-40 ปี อัตราการสร้างกระดูกและสลายกระดูกจะเท่ากันอยู่ในภาวะสมดุลจนกระทั่งเมื่ออายุ 40-50 ปีขึ้นไป อัตราการสลายกระดูกจะเริ่มมีมากกว่าการสร้างเซลล์กระดูกหมายความว่า มวลกระดูกจะค่อยๆ ลดจำนวนลง โครงสร้างภายในของกระดูกจะถูกทำลายจนเกิดเป็นรูพรุนลักษณะคล้ายกับฟองน้ำเป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคกระดูกพรุนขึ้นโดยมีสัญญาณที่สามารถสังเกตได้ เช่น อาการปวดตามบริเวณเอว หลัง ข้อมือ หรือ รูปร่างที่เปลี่ยนแปลงไป หลังโก่ง ไหล่งุ้ม หรือเตี้ยลง เป็นต้น โดยกระดูกบริเวณที่พบว่ามีโอกาสหักได้บ่อย ได้แก่ กระดูกหลัง กระดูกสะโพก กระดูกข้อมือ อัตราการเกิดโรคกระดูกพรุนในผู้หญิงจะมีโอกาสเสี่ยงมากกว่าผู้ชาย 2-3 เท่าโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในผู้หญิงช่วงวัยหมดประจำเดือน เนื่องจากฮอร์โมนเอสโตรเจนที่มีส่วนช่วยในการสร้างกระดูกจะลดต่ำลงมาก จึงทำให้เกิดภาวะสลายเซลล์กระดูกมีมากกว่าการสร้างเซลล์กระดูก
จากระบบการแพทย์และสาธารณสุขที่มีการพัฒนามากขึ้นกว่าในอดีต ทำให้อัตราเฉลี่ยของอายุของคนไทยจะยืนยาวมากขึ้น มีการคาดการณ์ว่า ในปี พ.ศ.2593 คนไทยจะมีอายุเฉลี่ยจากปัจจุบัน 74 ปี เป็น 84 ปี 1 ใน 5 ของผู้หญิงช่วงอายุ 40-80 ปี จะมีภาวะของโรคกระดูกพรุน มีความชุกของโรคกระดูกพรุนที่บริเวณกระดูกต้นขาและกระดูกบั้นเอว ในผู้หญิงอายุมากกว่า 40 ปี ถึงร้อยละ 13.6 และมีอุบัติการณ์ของภาวะกระดูกสะโพกหักในผู้หญิงผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป จำนวนเฉลี่ย 368 คนใน 1 แสนคนต่อปี ผู้ชายมีจำนวนเฉลี่ย 136 คนใน 1 แสนคนต่อปี โดยมีความสัมพันธ์กับอัตราการเสียชีวิตหลังจากกระดูกสะโพกหักร้อยละ 2.1 ของผู้ที่อยู่ในช่วงการรักษาในโรงพยาบาล และมีอัตราการเสียชีวิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 17 ในช่วง 1 ปีแรก นอกจากนี้แล้วยังมีจำนวนผู้ป่วยโรคกระดูกพรุน ที่ไม่ได้รับการดูแลในเรื่องการบริโภคแคลเซียม การได้รับวิตามินดี หรือการออกกำลังกายที่เพียงพอ รวมถึงการไม่ได้รับยาในกลุ่มที่ช่วยลดการทำลายกระดูก (Antiresorptive agents)
แนวทางการดูแลสะสมมวลกระดูกให้กระดูกแข็งแรง ไม่แตกหักง่ายด้วยการบริโภคอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการโดยเฉพาะอาหารที่มีแคลเซียมสูง ได้แก่ นม โยเกิร์ต ถั่วเหลือง ถั่วเขียว งาดำ งาขาว ปลาตัวเล็กที่รับประทานทั้งกระดูก กุ้งแห้ง กะปิ รวมถึงผักใบเขียว เช่น คะน้า ตำลึง บรอคโคลี่ นอกจากนี้ ยังต้องได้รับโปรตีนอย่างเพียงพอ เพราะโปรตีนเป็นส่วนสำคัญของกล้ามเนื้อด้วย เช่นกัน หากผู้สูงอายุที่ได้รับโปรตีนน้อยลง จะทำให้มี ความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะกล้ามเนื้อล้าอ่อนแรง มวลกล้ามเนื้อ ลดลง ซึ่งเมื่อเกิดอุบัติเหตุหกล้ม อาจจะทำให้กระดูกหักได้ รวมถึงควรได้รับ วิตามินดีจากแสงแดดในช่วงเช้าหรือช่วงที่แดดไม่จัดเกินไป เพราะนอกจากจะช่วยสร้างความแข็งแรงให้กระดูกแล้ว ยังช่วยการ ดูดซึมแคลเซียมได้ดียิ่งขึ้น รวมถึงการออกกำลังกาย ที่เหมาะสมอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้กระดูกและกล้ามเนื้อ แข็งแรง เป็นการป้องกันไม่ให้กระดูกแตกหักง่ายอีกด้วย