ยิ้มสู้ มุ่งสู่เป้าหมาย เปลี่ยนพฤติกรรมคนกรุง รู้จักแยกขยะ

ข้อมูลจากงาน สรุปผลดำเนินการโครงการพัฒนาเขตนำร่องการจัดการขยะมูลฝอยที่ต้นทางอย่างยั่งยืนในกรุงเทพมหานคร

                   จุดประกายคนกรุงเทพฯ ให้แยกขยะไม่เทรวม นำร่อง 3 เขตไปแล้ว  หนองแขม พญาไท และ ปทุมวัน  จากนั้น สานต่อด้วย  โครงการ BKK Zero Waste  เปลี่ยนวงจรขยะเปียก ให้กลายเป็นปุ๋ยหมัก ด้วยหนอนแมลงทหารดำ แนวคิดนี้กำลังถูกส่งต่อขยายไปใน 50 เขต

                   “กทม. ถูกปรามาสมาตลอด ว่า ไม่สามารถคัดแยกขยะได้จริง สุดท้ายหนีไม่พ้นนำขยะไปเทรวมกันอยู่ดี  ซึ่งงานเก็บขยะใครๆ ก็ทำได้ เพราะเก็บแบบรวบเหมารวม แต่การแยกประเภทขยะทำได้ยาก  ต้องอาศัยความใส่ใจ วันนี้กทม. ทำให้ผู้ประกอบการห้าง ร้านเห็นแล้วว่าสามารถแยกขยะได้จริง เหลือเพียงการปรับพฤติกรรมของประชาชนเท่านั้น” นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าว

                   จากการดำเนินโครงการ BKK Waste ต่อยอดแคมเปญไม่เทรวมภายใต้โครงการพัฒนาเขตนำร่องการจัดการขยะมูลฝอยที่ต้นทาง อย่างยั่งยืนในกรุงเทพมหานคร และส่งเสริมให้นำทรัพยากรกลับมาใช้ประโยชน์ เปลี่ยนขยะให้เป็นทองคำ จากขยะเปียก ขยะอินทรีย์ กลายเป็นปุ๋ยหมัก ซึ่ง กทม. ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และ สถาบันวิจัยสภาวะแวดล้อม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  ชวนหน่วยงาน 2,805  แห่ง ทั้ง ห้างสรรพสินค้า โรงเรียน โรงแรม ตลาด และวัด ร่วมคัดแยกขยะเศษอาหาร โดยสามารถรวบรวมได้ทั้งหมด 22,140 ตัน หรือ คิดเป็น 180 ตันต่อวัน จากปริมาณขยะเศษอาหารทั้งหมดในกทม.ที่คาดว่าจะมีมากถึง 4,000 ตันต่อวัน

                   ทั้งนี้ ตั้งเป้าในปี 2569 สามารถจัดเก็บขยะเศษอาหารให้ได้เพิ่มมากขึ้น 25% และในอนาคตมีเกษตรกรมารับซื้อขยะเศษอาหารถึงแหล่งผลิตขยะ และอาจใช้มาตรการเศรษฐกิจเข้ามาควบคุมปริมาณขยะทั้งในระดับครัวเรือน และห้างร้านต่างๆ ซึ่งอยู่ในระหว่างการพิจารณา และต้องควบคู่กับการสร้างความเข้าใจให้กับประชาชนเห็นประโยชน์อย่างจริงจังของการคัดแยกขยะ

                   โดยในปี 2566  ปริมาณขยะในพื้นที่ กทม. ลดลง 74,460 ตัน หรือคิดเป็น 4% ของปริมาณขยะทั้งหมด สามารถลดค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บถึง 141 ล้านบาท จากงบดำเนินการทั้งสิ้น 7,000 ล้านบาทต่อปี  สำหรับกระบวนการผลิตขยะในระดับครัวเรือนนั้น เฉลี่ย 1 คน ผลิตขยะ 1.5 กิโลกรัมต่อวัน และภายใน 1 ปี มีการผลิตขยะถึง 550 กิโลกรัมต่อวัน ที่ผ่านมาหลังจากเก็บขยะมา จะนำขยะเปียกกับขยะแห้ง ไปฝังกลบรวมกัน ทำให้เกิดก๊าซมีเทน ก่อให้เกิดภาวะเรือนกระจก

                   กระบวนการเปลี่ยนขยะเปียกให้กลายเป็นปุ๋ยหมักนั้น รศ.พันธวัศ สัมพันธ์พานิช ผอ.สถาบันวิจัยสภาวะแวดล้อม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ชี้ว่า ช่วยลดปริมาณขยะจากแหล่งกำเนิดได้ถึง 123.70 ตันต่อวัน  ปริมาณขยะฝังกลบลดลง 958.91 ตันต่อวัน ช่วยลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก 1,666.10 ตันคาร์บอนไดออกไซด์  พร้อมเตรียมจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้จัดการขยะอินทรีย์ด้วยหนอนแมลงทหารดำ ที่สามารถกำจัดขยะอินทรีย์ได้  200 ตันต่อวัน

                   สำหรับขั้นตอนการกำจัดขยะและเลี้ยงหนอนแมลงทหารดำ

  • เริ่มการรับขยะเศษอาหาร และนำไปโม่บดอาหาร
  • ใช้ขยะอาหารเพาะหนอนออกจากไข่ เป็นหนอนอนุบาลใช้เวลา 5 วัน โดย การเลี้ยงไข่หนอน 1 กิโลกรัม  สามารถจัดการขยะได้ 13 ตัน
  • หลังตัวหนอนฟักออกจากไข่ เลี้ยงต่อไปอีก 5 วัน เพื่อให้หนอนโตเต็มวัย
  • หนอนอายุ 10 วัน สามารถใช้เป็นอาหารเลี้ยงสัตว์ได้ เพราะมีโปรตีนสูง เหมาะกับการเลี้ยงไก่
  • คัดหนอนบางส่วนออกมา 10% นำไปเลี้ยงต่อ 15 วัน จนเป็นดักแด้ เพื่อนำไปขยายพันธุ์ต่อไป
  • มูลของหนอนนำไปเป็นปุ๋ย ด้วยวิธีการนี้สามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากกว่า วิธีทำปุ๋ยหมักทั่วไปถึง 47 เท่า

                   “หนอนแมลงทหารดำ 1 ตัวกินขยะเปียกได้ถึง 24 ชั่วโมง และมีวงจรชีวิต 10-20 วัน ฉะนั้นหากมีการเลี้ยงหนอนฯจะช่วยกำจัดขยะ 15-20 ตันต่อเดือน  ที่ผ่านมาแม้กทม.จะให้การสนับสนุนสถานที่สร้างโรงเรือนกำจัดขยะด้วยหนอนแมลงทหารดำ แต่พบว่า ปริมาณขยะที่ส่งมายังไม่เพียงพอ ซึ่งใน 1 โรงเรือนมีศักยภาพรับขยะเปียกได้ถึง 3 ตัน แต่ที่ผ่านมากลับมีขยะไปถึงโรงเรือนแค่ 1-2 ตันเท่านั้น ” รศ.พันธวัศ กล่าว

                   แรงหนุนขับ ให้เกิดการปัญหาขยะ เพราะเป็น 1 ในสุขภาวะองค์รวม มีความสำคัญไม่แตกต่างจาก ปัญหาเหล้า บุหรี่ นายศรีสุวรรณ ควรขจร อดีตกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าว และย้ำว่า ปัญหาสิ่งแวดล้อมสำคัญในขณะนี้ ที่ต้องเร่งแก้ไข มีทั้ง ฝุ่น PM 2.5 และขยะ  โดย ขยะมูลฝอย ก่อแมลง และยังเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรค ขยะพลาสติกมีโอกาสปนเปื้อนลงสู่แหล่งน้ำ กลายเป็นไมโครพลาสติกกลับเข้าสู่ร่างกายส่งผลกระทบต่อสุขภาพรุนแรง โดยพื้นที่กรุงเทพฯ 1,569  ตารางกิโลเมตร กลับเป็นพื้นที่ผลิตขยะมูลฝอยมากที่สุดในไทย

                   ซึ่งผลการพัฒนาองค์ความรู้ทางวิชาการ พร้อมสนับสนุนชุดเครื่องมือด้านการจัดการขยะ ส่งเสริมให้บ้าน วัด โรงเรียน ชุมชน อาคาร สำนักงาน องค์กร โรงแรม และห้างสรรพสินค้า ในพื้นที่นำร่อง 3 เขต หนองแขม พญาไท และ ปทุมวัน คัดแยกที่ต้นทาง ทำให้สามารถนำ วัสดุรีไซเคิลและขยะอินทรีย์กลับมาใช้ประโยชน์ซ้ำอีกถึง  884.51 ตัน หรือคิดเป็น 14.86% ของปริมาณขยะทั้งหมด ทั้งนี้ สสส.ยังหวังสนับสนุนทุนเพื่อขยายผลการดำเนินงาน คัดแยกขยะ และเปลี่ยนขยะให้เป็นปุ๋ยหมัก ไปยังพื้นที่หัวเมืองตามจังหวัดต่างๆ อาทิ เช่น จังหวัดเชียงใหม่ ชลบุรี

                   “ผลกระทบสุขภาพจากมลพิษทางสิ่งแวดล้อมเป็น 1 ใน 7 เป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ระยะ 10 ปี ที่ สสส. มุ่งแก้ไข  ดังนั้นการลดและคัดแยกขยะมูลฝอยที่ต้นทาง ปรับและสร้างพฤติกรรมลดขยะ รวมถึงการจัดการขยะอย่างยั่งยืน คือทางออกที่สำคัญที่สุด” นายศรีสุวรรณกล่าว

                   หลังจากผ่านการเรียนรู้ขยะอินทรีย์ หรือ ขยะเปียกทิ้งลงถังสีเขียว ขยะทั่วไปทิ้งลงถังสีฟ้า ขยะอันตรายทิ้งถังสีแดง แต่เท่านี้ยังไม่เพียงพอ หากขยะเหล่านี้ ทำได้แค่ฝังกลบ จุดจบของภาวะโลกร้อนและหาพื้นที่กลบฝังคงไม่ได้มีเกิดขึ้นแน่นอน แต่หากเปลี่ยนขยะให้เป็นทองคำ ขยะอินทรีย์ กลายเป็นส่วนหนึ่งของปุ๋ยบำรุงดิน เท่ากับคืนแร่ธาตุให้กับธรรมชาติ และช่วยให้ทุกอย่างสมดุล ไม่มีเหลือใช้

Shares:
QR Code :
QR Code