ยิ้มรับปีใหม่ด้วย “ความสุข” แบบยั่งยืน
ขอเริ่มเรื่องด้วยข้อคิดดี ๆ ในช่วงปีใหม่ จากคุณสราวุธ เฮ้งสวัสดิ์ นักเขียนชื่อดัง นามปากกา นิ้วกลม ที่บอกว่า “ช่วงปีใหม่เห็นผู้คนยิ้มกว้างมากมาย แต่แล้วรอยยิ้มก็ค่อย ๆ จางหายไปเหมือนพลุบนฟ้า บางครั้งทำให้เกิดความสงสัยว่า หากรอยยิ้มเป็นพลุ ระหว่างผู้คนรอบข้างกับตัวเราเอง ใครกันแน่ที่เป็นคนจุดมัน ใครเป็นคนถือประกายไฟแห่งเสียงหัวเราะและรอยยิ้มไว้ในมือ พวกเขาหรือตัวเราเอง” และวลีนี้เองที่ทำให้กลับมาตั้งคำถามว่า ปีใหม่นี้เราควรจะเริ่มต้นแบบไหนดีนะ ?
หลายคนเชื่อว่าถ้าเริ่มต้นปีใหม่ด้วยความรู้สึกใด ๆ ก็ตาม ความรู้สึกนั้นจะสะท้อนความเป็นไปในปีนี้ ซึ่งแน่นอนว่า “ความสุข” คือตัวเลือกเดียวที่หลายคนเลือก แต่ความสุขที่ว่านั้นมีทั้งแบบยั่งยืนและไม่ยั่งยืน พระไพศาล วิสาโล เจ้าอาวาสวัดป่าสุคะโต พระนักเผยแพร่และสอนคติธรรมในการดำรงชีวิต ให้นิยามความสุขไว้ว่า “ความสุขมิได้อยู่ไกลตัว หากมองเป็นก็เห็นสุขอยู่รอบตัว เรามักเข้าใจว่า ความสุขจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อร่ำรวย มีคนรัก มีงานดี มีตำแหน่งสูง การมองเช่นนั้นคือการเอาความสุขไปฝากไว้กับอนาคต ซึ่งเราไม่ควรจะรอให้ได้สิ่งเหล่านั้นก่อนถึงจะมีความสุข เพราะสิ่งสำคัญกว่าก็คือมีความสุขในปัจจุบัน และถึงแม้ไม่มีสิ่งเหล่านั้นอยู่เลย เราก็มีความสุขได้ เพราะสุขนั้นมีอยู่แล้วในใจเรานั่นเอง การสร้างความสุขที่แท้จริงจึงไม่ใช่เรื่องที่สูงส่งเกินจะไขว่คว้ามาปฏิบัติ”
การเอาความสุขของเราไปผูกติดกับสิ่งใด ๆ ก็ตามนั้นจะเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน และมักตามมาด้วยความทุกข์ เพราะทุกสิ่งก็ล้วนพึ่งพาสิ่งอื่น ไม่เป็นอิสระ เที่ยงแท้ยั่งยืน หรือกล่าวได้อีกอย่างหนึ่ง คือมันเป็น “อนัตตา” ดังนั้นจึงแปรเปลี่ยนอยู่เสมอ ไม่อาจเป็นไปดังใจได้นั่นเอง
เราไม่ควรปล่อยให้ปีใหม่เป็นเพียงเทศกาลสร้างความสุขหรือส่งความสุข(สคส.)เท่านั้น เพราะอย่างที่ทราบกันว่า เมื่อก้าวเข้าสู่ปีใหม่ก็คือสัญญาณการเริ่มต้นใหม่ในหลาย ๆ เรื่อง สิ่งที่ผ่านไปแล้วเราไม่สามารถแก้ไขได้แต่ปัจจุบันนั้นเรากำหนดได้เอง เช่นเดียวกันกับการเริ่มต้นด้วยความสุขทางใจที่เราสร้างเองได้ง่าย ๆ เป็นการเริ่มต้นที่ลงทุนถูกที่สุด ไม่ต้องเข้าตลาดหลักทรัพย์ แต่ผลิตเองได้จากตัวเรา กลั่นกรองด้วยหัวใจ และความคิดดีจากจิตสำนึก ถ่ายทอดออกไปเป็น “รอยยิ้ม” เป็นความสุขยั่งยืนไม่ยึดติดกับใคร
ทำไมถึงต้องเป็นรอยยิ้ม? ในทางวิชาการนั้นเมื่อเกิด “การยิ้ม” จะทำให้เลือดแดงที่ไปเลี้ยงสมองมีอุณหภูมิลดลง หัวใจเต้นช้าลง ความดันโลหิตลดลง ส่งผลให้เกิดความรู้สึกสบาย ผ่อนคลาย และอารมณ์ดี ส่งผลถึงการมีสุขภาวะใจที่เข้มแข็ง พร้อมรับมือกับปัญหาที่เข้ามา อีกทั้ง “รอยยิ้ม” ยังแฝงไปด้วยความหมายดี ๆ มากมาย เช่น รอยยิ้ม คือพลังสะท้อนความสุข เป็นสุขจากภายในที่ส่งถึงคนรอบข้างได้ง่ายมาก วิธีผลิตรวดเร็ว ยิ่งส่งออกไปเท่าไร ความสุขที่สะท้อนกลับมาก็ทวีค่าขึ้นเป็นสุขแสนสุขที่คุ้มค่า
นอกจากนั้น รอยยิ้ม ยังสร้างประโยชน์ให้สังคมรอบตัวได้อย่างไม่น่าเชื่อ เพราะถือเป็นเทคนิคที่ดีที่สุดในการทำความรู้จักหรือสร้างมิตรภาพ ลดความประหม่า เขินอาย หรือความเกร็งระหว่างกันลงไป การยิ้มยังทำให้ทุกคนทำงานร่วมกันง่ายขึ้น ช่วยลดปัญหา ลดอุปสรรค และความขัดแย้งได้เป็นอย่างดี ช่วยเสริมสร้างบรรยากาศดี ๆ ในที่ทำงานได้ไม่น้อย
มีคนเคยบอกไว้ว่า คนคิดบวกคือพวกโลกสวย ที่พยายามโกหกตัวเองเพื่อหนีปัญหา แต่ความจริงแล้วไม่ใช่เลย คนคิดบวกคือคนยิ้มสวยต่างหาก เพราะมีต้นทุนการผลิตความสุขแบบยั่งยืนนั่นเอง
ขอบคุณข้อมูลส่วนหนึ่งจาก หนังสือความสุขอันประเสริฐ
เรื่องโดย : ฐาปน คำทา Team Content www.thaihealth.or.th