มิติวัฒนธรรมอิสลามชายแดนใต้

กับการลดภัยมะเร็งปากมดลูกของสตรีมุสลิม

 มิติวัฒนธรรมอิสลามชายแดนใต้

          จากสถานการณ์ความรุนแรงใน  3  จังหวัดชายแดนภาคใต้  ส่งผลให้การใส่ใจด้านสุขภาพเป็นเรื่องรอง จากการระวังไม่ให้ตนเองตกเป็นเหยื่อความไม่สงบ  นอกจากนี้ความแตกต่างทางวัฒนธรรม วิถีชีวิตของผู้คนใน  3 จังหวัด  ซึ่งกว่าร้อยละ 90 นับถือศาสนาอิสลามนั้น ยิ่งทำให้การดูแลสุขภาพกลายเป็นเรื่องที่มีมิติทางความรู้สึกที่ซับซ้อนกว่าประชากรในภูมิภาคอื่น  ดังนั้น  การดำเนินงาน  ด้านสุขภาวะในพื้นที่ดังกล่าว  จึงเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน โดยเฉพาะในสตรีมุสลิม ผู้ที่เกี่ยวข้องต้องศึกษาและเข้าใจในอัตลักษณ์ของกลุ่มเป้าหมายอย่างลึกซึ้ง จึงจะเกิดประสิทธิภาพในการทำงานสูงสุด

 

          ดั่งเช่นการศึกษาตามโครงการวิจัยความเชื่อด้านสุขภาพในการป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูกของสตรีมุสลิมใน  ต.บางปู  อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี ของอุสมาน แวหะยี เจ้าพนักงานสาธารณสุขชำนาญงาน  ศูนย์สุขภาพชุมชนตำบลบางปู  ซึ่งได้รับการสนับสนุนทุนการวิจัยจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)

 

          อุสมานให้ข้อมูลว่า จังหวัดปัตตานีได้มีการรณรงค์ให้มีการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกอย่างต่อเนื่อง  แต่การเข้ารับบริการยังไม่เป็นไปตามเป้าหมาย  ที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดไว้  คือ ร้อยละ 60  โดยมีอัตราการมารับบริการของสตรีอายุ  35,  40,  45, 50, 55  และ  60 ปี ตั้งแต่ปี 2548-2550  เพียงร้อยละ  22.18,  45.3  และ  34.5 ตามลำดับ ซึ่งต่ำกว่าเกณฑ์ เนื่องจากมีข้อจำกัด เรื่องของการปฏิบัติตามหลักทางศาสนา  ตลอดจนมีความเชื่อกลัวผิดหลักศาสนา โดยเฉพาะอวัยวะทางเพศที่ควรปกปิด ห้ามมิให้บุคคลอื่น ที่นอกเหนือจากสามีของตนเองได้เห็น

 

          “มิติวัฒนธรรมเกี่ยวกับการเปิดเผยอวัยวะเพศที่นอกเหนือจากการเป็นโรคแล้ว กลัวจะเป็นสิ่งที่ขัดต่อหลักปฏิบัติทางศาสนา  อาจจะเป็นบาปได้  ขณะเดียวกันการไม่ได้รับการยินยอมจากสามีได้ส่งผลต่อการไม่มารับการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกด้วย” อุสมานกล่าว

 

          พื้นที่ดังกล่าวยังมีความครอบคลุมการมารับบริการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งปากมดลูกต่ำกว่าเป้าหมาย คือ มารับบริการเพียงร้อยละ 54.4 ยังขาดข้อมูลที่จำเป็นในการวางแผนดำเนินการควบคุมป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูก  โดยกลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้  คือสตรีมุสลิมที่แต่งงาน  ที่มีอายุ 35, 40, 45, 50, 55 และ 60 ปี ใน ต.บางปู อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี จำนวน 177 คนทั้งนี้จากการลงพื้นที่ช่วงเดือนกรกฎาคม  2551 โดยประสานงานกับหัวหน้าสถานีอนามัยและอาสาสมัครตำบลบางปู ในการรวบรวมข้อมูลของกลุ่มตัวอย่าง  พบว่า  สตรีมุสลิมตำบลบางปูที่มารับบริการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก  มีเหตุผลคล้ายคลึงกันกับสตรีพื้นที่อื่น นั่นคือมีความอาย ไม่กล้าที่จะเปิดเผยอวัยวะเพศให้ผู้อื่นเห็น  และคิดว่าตนเองไม่มีอาการผิดปกติจึงไม่จำเป็นต้องไปตรวจ  ประกอบกับการตรวจจะต้องได้รับอนุญาตจากสามี จึงทำให้เกิดความลำบากใจในการตัดสินใจ

 

          ด้วยเหตุนี้ทางโครงการ  จึงใช้กลยุทธเข้าทาง “สามี” พร้อมพบปะพูดคุยกับ “ผู้นำศาสนา” และ “พ่อบ้านมุสลิม”  เพื่อสร้างความเข้าใจ  และให้ข้อมูลสถานการณ์ของมะเร็งปากมดลูก โดยมีเป้าหมายให้สตรีได้รับอนุญาตจากสามีเข้ารับบริการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก  ซึ่งแนวทางนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการปลดล็อกเงื่อนไขอันละเอียดอ่อน ทำให้สตรีมุสลิมเข้าถึงบริการตรวจมะเร็งปากมดลูกง่ายขึ้น

 

          “เมื่อสามีและผู้นำศาสนามีความเข้าใจในการรับรู้  ถึงความรุนแรงของการเกิดโรคมะเร็งปากมดลูก การรับรู้ประโยชน์ของการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ก็จะส่งผลต่อสตรีมุสลิมคือมีการเดินทางมารับบริการเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ” อุสมานระบุ

 

          ที่สำคัญสตรีมุสลิมที่มารับการตรวจ  จะมีการมอบอุปกรณ์สำหรับใช้ในครัวเรือน  ซึ่งเป็นการเพิ่มแรงจูงใจต่อกลุ่มเป้าหมายอีกช่องทาง  ควบคู่กับการให้บริการรถรับส่งในการมารับการตรวจมะเร็งปากมดลูก เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางด้วย

 

          ผลจากการศึกษาครั้งนี้  อุสมานพบว่า ความเชื่อด้านสุขภาพในการป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูกของสตรีมุสลิม  ต.บางปู  มีความเชื่อด้านสุขภาพโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง  สอดคล้องกับพฤติกรรมการเข้ารับบริการของสตรีมุสลิมที่อยู่ระดับกลางๆ  เช่นกัน คือร้อยละ 56.5 ซึ่งถือว่าต่ำกว่าเป้าหมายที่กำหนดคือ  ร้อยละ 60 ดังนั้นจึงต้องเร่งเครื่องทั้งหน่วยงานสาธารณสุขและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น  ในการนำข้อมูลที่ได้รับจากการศึกษา  เป็นแนวทางในการวางแผนและกำหนดนโยบายการดำเนินงาน ให้สตรีมุสลิมมารับบริการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกให้ได้ตามเป้าหมาย โดยคำนึงถึงวิถีชีวิตและบริบททางวัฒนธรรม ซึ่งจะช่วยทำให้พื้นที่บรรลุผลตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ต่อไป

 

          ส่วนเจ้าหน้าที่สาธารณสุขและบุคลากรทางการแพทย์อื่นๆ  ควรกำหนดมาตรการดำเนินงานสร้างเสริมสุขภาพในพื้นที่  โดยในระยะสั้นควรปฏิบัติงานในเชิงรุก ด้วยการออกหน่วยเคลื่อนที่บริการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง  และสร้างเครือข่ายการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ส่วนมาตรการระยะยาว  คือ การปรับเปลี่ยนทัศนคติความเชื่อด้านสุขภาพในการป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูกของสตรีมุสลิมให้ถูกต้อง เพื่อให้สตรีได้เกิดความตระหนักและเพิ่มสมรรถนะแห่งตน ให้เห็นความสำคัญในการเข้ารับบริการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกเพิ่มมากขึ้น

 

          อุสมานมั่นใจว่า  การศึกษาครั้งนี้จะเป็นผลดีต่อบุคลากรด้านสาธารณสุข ได้ทราบถึงความเชื่อด้านสุขภาพในการป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูก และปัญหาอุปสรรคของการมารับบริการคัดกรองมะเร็งปากมดลูกของสตรีมุสลิม  เพื่อนำไปวางแผนการเพิ่มอัตราการมารับบริการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกให้มากยิ่งขึ้นตามเป้าหมายที่ต้องการ และลดผลกระทบจากโรคและภัยคุกคามทางสุขภาพได้อย่างยั่งยืน

 

 

 

 

 

 

ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

 

 

 

update: 06-10-52

อัพเดทเนื้อหาโดย: อัญณิกา กฤษสมัย

 

Shares:
QR Code :
QR Code