“มหิดล” องกรณ์ต้นแบบส่งเสริมสวมหมวกนิรภัย
มหาวิทยาลัยมหิดลขานรับนโยบายห่วงใครให้ใส่หมวก ร่วมเป็น 1 ในสถาบันอุดมศึกษาที่เข้าร่วมโครงการ “องค์กรต้นแบบ ส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัย 100%”
มหาวิทยาลัยมหิดล 1 ในสถาบันอุดมศึกษา ที่เข้าร่วมโครงการ “องค์กรต้นแบบ ส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัย 100%” โดย ผศ.ทพ.พีระ สิทธิอำนวย รองอธิการบดีฝ่ายบริหารและสภามหาวิทยาลัย เป็นผู้แทนของมหาวิทยาลัยมหิดลร่วมเปิดตัวโครงการดังกล่าว ซึ่งสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) คณะทำงานสนับสนุนการป้องกันอุบัติเหตุจราจรระดับจังหวัด (สอจร.) และภาคีเครือข่ายด้านความปลอดภัยทางถนนจัดขึ้น นอกจากนี้ยังมีอีก 25 องค์กรชั้นนำ ร่วมเป็นองค์กรต้นแบบส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัย 100% ในครั้งนี้ด้วย
เนื่องด้วย คณะรัฐมนตรีได้มีมติกำหนดให้ปี พ.ศ.2554-2563 เป็นทศวรรษแห่งความปลอดภัยทางถนน เพื่อลดอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนลงให้ต่ำกว่า 10 คน ต่อประชากร 100,000 คนในปี 2563 และตั้งแต่ปี 2554-2557 ถือเป็นปีแห่งการณรงค์ส่งเสริมการสวมหมวกนิรภัย 100% จึงเร่งรณรงค์ให้คนไทยเห็นความสำคัญของการสวมหมวกนิรภัย โดยเริ่มจากการขับเคลื่อนภายในหน่วยงาน ทั้งองค์กร สถานประกอบการ บริษัทเอกชน โรงงาน โรงเรียน หรือมหาวิทยาลัย เพื่อสร้างมาตรฐาน และปลูกจิตสำนึกให้ทุกคนได้ยึดถือปฏิบัติไปในทิศทางเดียวกัน
ซึ่งจากข้อมูลจากกรมการขนส่งทางบก พบว่า ประเทศไทยมี รถจักรยานยนต์ที่จดทะเบียนและไม่ได้จดทะเบียนกว่า 23 ล้านคัน สอดคล้องกับอัตราการบาดเจ็บ พิการ และเสียชีวิต ซึ่งระบุว่า 2 ใน 3 ของประชากรไทยในกลุ่มแรงงาน เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนที่เกิดจากการเดินทางมาทำงานและระหว่างการทำงาน และ 80% เกิดจากรถจักรยานยนต์ โดยไม่สวมหมวกนิรภัย ด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นต้องเร่งรณรงค์ ปลูกจิตสำนึก ให้องค์กรต่างๆ และประชาชน หันมาดูแลความปลอดภัย และให้ความสำคัญกับการสวมหมวกนิรภัยมากยิ่งขึ้น
โดยเมื่อเดือนสิงหาคม ที่ผ่านมาทางมหาวิทยาลัยมหิดลได้จัด “โครงการรณรงค์สวมหมวกนิรภัย 100 เปอร์เซ็นต์” เพื่อสนับสนุนให้ผู้ขับขี่และผู้ซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์สวมหมวกนิรภัย 100% ภายในพื้นที่มหาวิทยาลัย รวมถึงให้ผู้ขับขี่ตระหนักถึงความปลอดภัยในการใช้ รถจักรยานยนต์ และยังเป็นการสนับสนุนการดำเนินงานทศวรรษแห่งปลอดภัยทางถนน พ.ศ.2556-2563 อีกทางหนึ่ง โดยได้รับความร่วมมือจากสถานีตำรวจภูธรพุทธมณฑล กองบังคับการตำรวจแห่งชาติ ร่วมในการรณรงค์ในครั้งนี้ด้วย
ที่มา : หนังสือพิมพ์บ้านเมือง