มพบ. สสส. พร้อมภาคีฯ สร้างผู้บริโภครับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม
ที่มา : สำนักข่าวสร้างสุข
ภาพประกอบจาก สสส.
มพบ. สสส. พร้อมภาคีฯ รับกระแสวันสิทธิผู้บริโภคสากล 2020 ชูแนวคิด The Sustainable Consumer สร้างผู้บริโภครับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม สนองเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน พร้อมหนุนปรับลดค่าโดยสารรถสาธารณะ ชี้คนกรุงแบกรับภาระสูงแตะ 28% ของรายได้ขั้นต่ำต่อวัน แซงหลายประเทศ
นางสาวสารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค (มพบ.) กล่าวเนื่องในวันสิทธิผู้บริโภคสากล 15 มีนาคม 2563 ว่า ปัจจุบันสหพันธ์องค์กรผู้บริโภคสากลและองค์กรสมาชิกที่มีมากกว่า 200 องค์กรจาก 115 ประเทศทั่วโลก ในประเทศไทยมีมูลนิธิเพื่อผู้บริโภคเป็นสมาชิกสามัญ โดยในปีนี้สากลได้กำหนดภาพรวมการสื่อสารเพื่อผลักดันให้ผู้บริโภครับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ภายใต้แนวคิด “The Sustainable Consumer” อันเนื่องมาจากภาวะโลกร้อนที่กำลังส่งผลกระทบต่อประชากรทุกภูมิภาคโลก โดยมุ่งสื่อสารรณรงค์ 5 ประเด็น ได้แก่ 1) การเรียกร้องข้อมูลเรื่องความยั่งยืนของสินค้า 2) การขนส่งที่ยั่งยืน การเดินทางโดยใช้บริการ Sharing 3) แฟชั่นหมุนเวียน 4) หีบห่อที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และ 5) สินค้าที่มีอายุการใช้งานนานขึ้น
ในปีนี้นอกจาก มพบ. สสส. และคณะกรรมการองค์การอิสระเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภคภาคประชาชน จะสนับสนุนประเด็นการบริโภคอย่างยั่งยืนแล้ว ยังเดินหน้าสื่อสารผลักดันเชิงนโนบายในประเด็นค่าโดยสารรถสาธารณะ ข้อมูลล่าสุดจากสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) พบว่า ค่าใช้จ่ายของผู้บริโภคในการเดินทางเมื่อเทียบอัตราค่าแรงขั้นต่ำต่อวันของคนกรุงเทพมหานคร หากเป็นรถไฟฟ้าทุกระบบทั้ง BTS MRT และ ARLจะมีค่าใช้จ่ายสูงถึง 26-28% หรือหากใช้รถเมล์ ขสมก. ปรับอากาศก็มีค่าใช้จ่ายสูงถึง 15-16% ส่วนรถเมล์ร่วมบริการอยู่ที่ 14% ขณะที่ในปารีสมีค่าใช้จ่ายเพื่อการเดินทางด้วยรถไฟฟ้าเพียง 3% ลอนดอน 5% โตเกียว 9% และสิงคโปร์ 5% เท่านั้น นั่นเท่ากับคนกรุงเทพต้องเสียค่าเดินทางต่อวันที่แพง และค่อนข้างสวนทางกับคุณภาพของบริการขนส่งสาธารณะ
“ความจริงคือประชาชนเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางที่แพงกว่านี้อีกมาก หากคิดตั้งแต่ออกจากบ้านเพื่อไปทำงาน ต้องใช้จักรยานยนต์รับจ้าง รถเมล์ รถตู้ กว่าจะถึงรถไฟฟ้า และหากต้องใช้รถไฟฟ้าสองสาย ผู้บริโภคต้องเสียค่าใช้จ่ายส่วนแรกที่เรียกว่าค่าแรกเข้าเพิ่มอีก 14-16 บาท จากรถไฟฟ้าทุกสายที่ใช้บริการ จึงวอนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณาการแก้ไขปัญหาดังกล่าว เพื่อให้ประชากรเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะอย่างปลอดภัย เท่าเทียมเป็นธรรม เพราะเมื่อขนส่งมวลชนมีคุณภาพน่าใช้บริการแล้ว จะสามารถลดจำนวนรถบนท้องถนนได้ตามไปด้วย” เลขาธิการ มพบ. กล่าว
นายชาติวุฒิ วังวล ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า สสส.ให้ความสำคัญกับแผนงานคุ้มครองผู้บริโภคด้านสุขภาพ เพื่อส่งเสริมให้ภาคประชาสังคมทำหน้าเฝ้าระวัง สร้างและจัดการความรู้ รวมทั้งแผนงานด้านสิ่งแวดล้อมกับสุขภาพ สนับสนุนให้ภาคีเครือข่าย ดำเนินการผลักดันเชิงนโยบายเพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) รับมือกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ เพราะทุกๆ หนึ่งนาที มีขวดพลาสติกถูกจำหน่ายออกไปกว่า 1 ล้านขวด ในขณะที่พลาสติก 50,000 ล้านชิ้นลอยอยู่ในทะเล คนซื้อเสื้อผ้ากันปีละ 80,000 ชิ้น และบริโภคอาหารปีละ 3,900 ล้านตัน โดยหนึ่งในสามของอาหารที่ยังบริโภคได้เหล่านั้นถูกทิ้งอีกด้วย ทั้งหมดนี้ล้วนกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทั้งทางตรงและทางอ้อม แม้เป็นเรื่องยากที่จะหยุดการบริโภคแบบไม่ยั่งยืนในระดับที่เป็นอยู่ แต่หากผู้กำหนดนโยบายเห็นความสำคัญ และประชาชนให้ความร่วมมือ เป็นผู้บริโภคที่เท่าทันความเปลี่ยนแปลง เชื่อว่าจะสามารถบรรเทาปัญหานี้ได้ดียิ่งขึ้น
เพื่อสร้างการรับรู้สิทธิผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง มพบ. สสส. มหาวิทยาลัยรังสิต และภาคีเครือข่ายได้จัดแคมเปญออนไลน์ขึ้นตั้งแต่วันที่ 16 มีนาคม 2563 – 30 เมษายน 2563 (วันสิทธิผู้บริโภคไทย) โดยมีกิจกรรมถ่ายทอดสดการเสวนา Dream Talk ภาพฝันจากผู้บริโภคสร้างแรงบันดาลใจ เพื่อสร้างแรงจูงใจให้คนอยากเปลี่ยนแปลงสังคม โดยตัวแทนผู้บริโภคที่มีชื่อเสียงจากหลากหลายวงการ พร้อมร่วมสนุกกับกิจกรรมแชะ แชะ แชร์ แชร์ ปัญหาที่กระทบต่อผู้บริโภค ฯลฯ ผ่านทางเฟซบุ๊ก “มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค” และเว็บไซต์ https://www.consumerthai.org/