ฟังเสียง…จากผู้ไร้เสียง ในเวทีเสียงที่ไม่ได้ยิน

ที่มา : ไทยโพสต์


ภาพโดย สสส.


ฟังเสียง...จากผู้ไร้เสียง ในเวทีเสียงที่ไม่ได้ยิน thaihealth


สสส. และภาคีเครือข่าย จัด Talk Show ที่ห้อง Grand Diamond อิมแพ็ค ฟอรั่ม 2 เมืองทองธานี The Voiceless Talk ฟังเสียงจากผู้ไร้เสียง


ฟังเสียงจากจากตัวจริงเจ้าของเรื่อง ผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงเพื่อความเป็นธรรมทางสุขภาพ โดย วิรุตม์ อภัยวงศ์ : Be the first, be the change เจษฎา แต้สมบัติ : ครอบครัว จุดเริ่มต้นและจุดเปลี่ยนของมายาคติ ดร.วราภรณ์ แช่มสนิท : มา "เผือก" กันให้ความรุนแรงสั่นสะเทือน อรุณี ศรีโต : ฮีโร่นอกระบบ หน่อแอริ ทุ่งเมืองทอง : ล่ามชุมชน สะพานเชื่อมยุคสมัย และ ผู้คนทุกชาติพันธุ์ รศ.ดร.นภากรณ์ หะวานนท์ : สุขภาวะเรือนจำ สุขภาวะสังคม 


วิรุตม์ อภัยวงศ์ : Be the first, be the change  เปิดประเด็นในฐานะผู้พิการทางสายตา


ฟังเสียง...จากผู้ไร้เสียง ในเวทีเสียงที่ไม่ได้ยิน thaihealth


"คุณจำรักครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อไหร่ อกหัก ชอบนะแต่ยังไม่พร้อมที่จะเจอรัก ดังนั้นรักครั้งแรกไม่ใช่เรื่องง่าย เปิดใจรักคนที่เขารักเรา ผมจะรักกับใครสักคนเป็นรักครั้งแรกของเขาก็ต้องเปิดใจ ผมเป็นคนพิการทางสายตาซ้าย เลือนราง อ่านหนังสือไม่ได้ ปิดตาข้างซ้าย มองไม่เห็น เห็นเพียงมือไหว ๆ เมื่อ 14-15 ปีก่อนผมเป็นเด็ก 10 ขวบ ปั่นจักรยานไปโรงเรียนตอนเช้า กลับบ้านตอนเย็นเป็นเรื่องปกติดี วันหนึ่งปวดหัวจี๊ด ๆ ตื้อ ๆ บอกไม่ถูก คิดว่าไม่สบาย ป่วยกินยาแล้วไปนอนพักก็น่าจะดีขึ้น พรุ่งนี้เช้าไป รร.พอกลับบ้านตอนเย็นก็เกิดอาการปวดหัวอีกเช่นเดิม ก็กินยาแล้วนอนพัก เป็นเช่นนี้ 2 เดือนจนที่บ้านเริ่มเอะใจว่าเด็กเป็นอะไรทำไมปวดหัวทุกวัน หรืองอแงไม่อยากจะไป รร. แต่การที่กินยาทุกวันไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ


คุณหมอก็ซักถามอาการ ตั้งข้อสังเกตว่าเรียนหนักทำให้เครียดหรือไม่ จำได้ว่าผมได้ยาคลายเครียดและยาแก้ปวดเม็ดใหญ่สีเหลือง ผมคิดว่าตัวเองคงจะเป็นไมเกรน กินยาที่หมอให้ต่อเนื่อง 2 เดือน แต่ก็ยังไม่หาย เช้าวันหนึ่งกำลังจะไป รร.มีอาการพะอืดพะอม เดินแล้วเซโดยไม่ได้ตั้งใจ คนที่บ้านก็เริ่มผิดสังเกตว่าป่วยเป็นอะไร หนักเข้าผมรู้สึกว่าตามองไม่เห็นข้างหนึ่ง ทุกคนในบ้านตกใจ พาไป รพ.เพื่อสแกนสมอง พบเนื้องอกในสมองประมาณ 1 กำมือ อยู่บริเวณท้ายทอย ไม่รู้ว่าเกิดมานานแค่ไหนแล้ว หมอนัดผ่าตัด เมื่อออกจากห้อง ICU รู้สึกว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่ แต่ผมรู้ว่าผมมีหน้าที่จะต้องสู้เพื่อคนที่บ้าน ต้องอยู่เพื่อคนอื่น ผ่านการรักษาทางกายภาพบำบัดที่ รพ.เป็นเวลา 3 เดือน ปรึกษาหมอว่าจะใช้ชีวิตคนพิการอย่างไร คุณหมอก็แนะนำให้ไปเรียน รร.คนตาบอดพระมหาไถ่พัทยา ในพระอุปถัมภ์สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี 


จำได้ว่าตอนนั้นร้องไห้ ปรับตัวในการใช้ชีวิต จากเดิมที่เราเป็นคนเล่นกีฬาเก่ง เล่นดนตรีก็เก่ง ซ้อมเตะฟุตบอล เตะถูกบ้างผิดบ้าง เกิดแรงบันดาลใจในการลงเล่นกีฬาว่ายน้ำ ได้เป็นนักกีฬาแข่งขันกับนานาชาติ เล่นดนตรีไทย ฝึกซ้อมเดี่ยวจะเข้ เข้าร่วมถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้เรียนกับคนปกติใน รร.ปกติ ตอนนั้นก็เกิดความมุมานะจะต้องเรียนให้ได้ 20 เท่าของคนปกติเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒให้ได้ จัดการธุรกิจไซเบอร์นับได้ว่าเป็นความภาคภูมิใจที่ตัวเองทำได้ ทุกคนที่บ้านก็พลอยดีใจไปกับเราที่เราสร้างแรงบันดาลใจทำฝันให้เป็นจริงได้ 


"ผมโชคดีที่ได้เจอคุณพ่อบุญธรรมเป็นหมอตารักษาผมตั้งแต่อยู่ที่ รพ. ผมเป็นเด็กต่าง จว.มาอยู่กับพ่อที่ กทม. พ่อบุญธรรม Support ผมทุกอย่าง ผมปลดล็อกตัวเองได้ ปี 2 เป็นคนไม่ชอบเรียนบัญชี ตัวเลข ไม่ชอบมาก ๆ แต่คุณพ่อให้พลังและกำลังใจว่าลูกต้องทำให้ได้ เราไม่จำเป็นต้องทำเหมือนกับคนปกติ เราทำในแบบของเราก็พอแล้ว ต้องทำให้ได้ไปซื้อหนังสือมาเรียนเพิ่มเติม ทำตารางบัญชีขึ้นใช้เอง ใช้ความทุ่มเทความพยายามพัฒนาจนสอบได้วิชานี้เกรด A เป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่ง จากวิชาที่เราไม่เคยชอบ แต่วันนี้เราทำได้แล้ว เพียงแต่ว่าเราทุ่มเทและจริงจังก็ทำได้ เพียงแต่เราตั้ง Mind Set เพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเอง"


"ตอนนั้นผมก็ไปวิ่งมาราธอนจนได้รางวัลที่ 1 ไปซ้อมว่ายน้ำในทะเลมิ buddy พร้อมผจญภัยใต้ท้องทะเล เจอแมงกะพรุน สัตว์ทะเลมากมาย เป็นสิ่งที่ท้าทายตัวเองมาก ได้ทำงานกับมูลนิธินวัตกรรมทางสังคม ได้รับการสนับสนุนจาก สสส.จ้างคนพิการทำงาน ดูแลฐานข้อมูลคนพิการ ผมออกเดตครั้งแรกคือรักครั้งแรกของผม คนพิการเพียง 1% เท่านั้นที่จะเรียนจบระดับอุดมศึกษา เมื่อเรียนจบก็ได้รับโอกาสในการทำงานในสถานประกอบการทั้งหลาย เพื่อให้องค์กรประทับใจผลงานของเรา ถ้าองค์กรประทับใจในผลงานคนแรก ต่อไปเขาก็พร้อมที่จะจ้างคนที่ 2 คนที่ 3 คนที่ 4 ต่อไปก็จะมีการจ้างงานคนพิการมากยิ่งขึ้น ผมเชื่อมั่นในศักยภาพของพวกเราทุกคนว่าทำได้"


ดร.วราภรณ์ แช่มสนิท : มา 'เผือก' กันให้ความรุนแรงสั่นสะเทือน


ฟังเสียง...จากผู้ไร้เสียง ในเวทีเสียงที่ไม่ได้ยิน thaihealth


ดร.วราภรณ์ แช่มสนิท ผจก.แผนงานสุขภาวะผู้หญิงและความเป็นธรรมทางเพศ สมาคมเพศวิถีศึกษา กล่าวว่า ความรุนแรงที่เกิดขึ้น 1/3 44% 34.6% ความหมาย 1/3 คือจำนวนประชากรผู้หญิงทั่วโลกที่เคยผ่านประสบการณ์ความรุนแรง การทำรุนแรงโดยคู่สมรส คนรัก หรือสามี และยังมีการใช้ความรุนแรงทางเพศโดยคนที่ไม่ใช่แฟน 44% ของผู้หญิงอายุ 15-49 ปี เคยถูกคู่ของตัวเองทำร้ายร่างกายทางเพศ คนอื่นที่ไม่ใช่คู่ล่วงละเมิดทางเพศ 34.6% มีการสำรวจเมื่อ 2 ปีก่อน 1 ใน 3 ครอบครัวประเทศไทยระบุว่ามีการใช้ความรุนแรงในครอบครัว ขอตั้งคำถามว่าในชีวิตที่ผ่านมามีใครรู้จักชุมชน คนข้างบ้าน คนที่อยู่ ทำงานที่เดียวกับเรา เป็นเพื่อนเป็นญาติในครอบครัว ตัวเราเคยถูกใช้ความรุนแรงในครอบครัว หรือถูกล่วงละเมิดทางเพศ ช่วยกันยกมือว่ารู้จัก สถิติเหล่านี้สะท้อนความเป็นจริงแค่ไหน แม้แต่ตัวเองเคยผ่านประสบการณ์ ถูกพยายามข่มขืนและทำร้ายร่างกาย ความรุนแรงไม่ได้เลือกระดับการศึกษา ไม่ได้เลือกฐานะทางเศรษฐกิจ ครอบครัว ไม่ได้เลือกชนชั้น ไม่ได้เลือกอายุ 


ความรุนแรงเกิดขึ้นได้เป็นภูเขาน้ำแข็ง การทำร้ายจิตใจ การพูดจาดูถูกเหยียดหยาม ปฏิบัติเพิกเฉยทำให้ตัวเองไร้คุณค่า ไม่มีตัวตน การจำกัดทางเลือกในชีวิต การใช้ลูกเป็นเครื่องมือต่อรอง แต่เรามองข้ามไม่เห็นว่าเป็นความรุนแรง เราเห็นความรุนแรงเชิงโครงสร้างทางวัฒนธรรมด้านเพศ มองว่าโอกาสทางเพศไม่เท่ากัน สังคมยอมรับความรุนแรง ทัศนคติของคนในสังคมได้ยิน ได้รับรู้ ดังสุภาษิต รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี ลูกเป็นทรัพย์สินของพ่อแม่ ไม้เรียวคือเครื่องมือสร้างคนดี 


มีการสอนลูกผู้ชายตัวจริงว่าจะต้องไม่แหย ต้องสู้คน ถ้าผู้ชายทำความรุนแรงเรื่องเพศกลายเป็นสิ่งที่ยอมรับได้ คนบางคนยังใช้เรื่องความรุนแรงทางเพศไปคุยโม้โอ้อวดเพื่อนฝูงในที่สาธารณะ ในขณะที่เราสอนผู้หญิงอย่าแต่งตัวโป๊ อย่าเที่ยวกลางคืน แต่ขณะเดียวกันเราต้องสอนผู้ชายด้วยว่าคุณไม่มีสิทธิละเมิดทางเพศผู้หญิงไม่ว่าเขาจะแต่งตัวแบบไหน หรือความคิดที่ว่าเป็นกะเทยถูกลวนลามไม่เป็นไร เป็นการปลูกฝังความคิดที่ไม่ถูกต้อง สามีทำร้ายร่างกายภริยา ใช้คำพูดว่าเป็นการกระทบกระทั่งกันเป็นเรื่องธรรมดา ผู้หญิงถูกสอนให้อดทนจากการกระทำของสามีเพื่อลูก แม้ว่าผู้หญิงจะถูกใช้ความรุนแรงเกินกว่าความอดทน กระบวนการทางสังคมทำให้ความรุนแรงเรื่องเพศกลายเป็นเรื่องปกติ กลายเป็นความจำนนที่ยอมให้เกิดขึ้นในสังคม 


งานรณรงค์สำรวจรูปแบบคุกคามทางเพศ 45% ใช้บริการขนส่งสาธารณะเคยถูกลวนลามทางเพศ มากกว่า 50% เหตุการณ์ล่าสุดในรอบ 1 ปี ปัญหาการคุกคามทางเพศเกิดขึ้นกับคนจำนวนมาก การคุกคามทางเพศ เกิดขึ้นในที่สาธารณะ เกิดทุกช่วงเวลาในพื้นที่ที่คนอื่นอยู่ แต่ไม่มีใครทำอะไรได้ ต้องสื่อสารรณรงค์ การใช้สายตา การคุกคามด้วยคำพูด วาจา การสะกดรอยตามในที่สาธารณะโดยคนแปลกหน้า การข่มขืนในพื้นที่สาธารณะ การใช้ Social Media ให้เห็นปัญหาที่เกิดขึ้น ดังนั้นต้องร่วมมือกันใส่ใจแก้ไขด้วยการสื่อสารของคนรุ่นใหม่เข้าใจเรื่องความรุนแรง วัยรุ่นอายุ 15-29 ปีจะต้องหลีกเลี่ยงในการใช้ความรุนแรงทางร่างกายและเพศ ขณะนี้มีการสร้าง fb free from fear เป็นชุมชนออนไลน์ ทำมาแล้ว 2 ปี มีคนเข้ามาแชร์ร่วมกันแก้ไขปัญหา สสส.ให้การสนับสนุนหลายชุมชน งานของกลุ่มผู้หญิงม้งพูดคุยกัน ด้วยกฎจารีตของชาวม้ง เมื่อผู้หญิงม้งแต่งงานแล้วออกจากครอบครัวเดิมเข้ามาอยู่ในครอบครัวสามี ถ้าสามีทอดทิ้งด้วยการนอกใจ หญิงม้งจะกลับมาอยู่กับครอบครัวเดิมไม่ได้อีก เป็นการผิดผี กลุ่มเครือข่ายสตรีม้งเสนอเรื่องชุมชนม้งคือปัญหา สร้างความร่วมมือกับผู้นำตระกูลแซ่ ในฐานะผู้ชายเป็นผู้นำให้มีการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ด้วย ขณะเดียวกันมีการรื้อฟื้นพิธีกรรมชาวม้ง พิธีผูกรับลูกสาวกลับบ้าน มีการประกอบพิธีกรรมผู้นำชาวม้งรวมตัวกันที่ จ.ตาก ประกอบพิธีผูกรับลูกสาวกลับบ้าน ชาวม้งอพยพมาจากจีน เวียดนาม บางส่วนอพยพไปอยู่สหรัฐ เดินทางกลับมาเมืองไทยเพื่อพบญาติพี่น้องม้ง ปัญหาความรุนแรงต้องช่วยกันแก้ไขตั้งแต่ก้าวแรก คือการไม่ยอมให้ความรุนแรงทางเพศกลายเป็นเรื่องปกติ อย่ายอมจำนนกับความรุนแรง เป็นการต่อต้านอย่างสร้างสรรค์ เพื่อก้าวพ้นจากความรุนแรง


รศ.ดร.นภากรณ์ หะวานนท์ : สุขภาวะเรือนจำ สุขภาวะสังคม 


ฟังเสียง...จากผู้ไร้เสียง ในเวทีเสียงที่ไม่ได้ยิน thaihealth


วันนี้มาคนเดียว ไม่มีกองเชียร์ ไม่มีผู้ต้องขังมาด้วย ในฐานะผู้พูดหรือผู้ฟัง ผู้ต้องขังเป็นเสียงที่คนอื่นไม่ได้ยิน นักวิจัยเดินเข้า-ออกภายในเรือนจำสิบปี พวกเราหลายคนมักจะคิดถึงเรื่องเรือนจำเป็นเรื่องไกลตัว แต่ถ้าเราซักถามพูดคุยกับผู้ต้องขังว่ามาอยู่ในเรือนจำนี้ได้อย่างไร เราจะเกิดอาการทันทีเมื่อได้รับคำตอบ อย่างนี้ใคร ๆ ผิดพลาดเข้ามาอยู่ในเรือนจำได้ทั้งนั้น ผู้หญิงคนหนึ่งเจอความรุนแรงของสามีนานมาก ๆ เธอต้องจำคุกตลอดชีวิต เพราะฆ่าปาดคอชิงไอโฟน เธอคืออาชญากร ตีบทแตกกระจุยที่แท้เธอเป็นคนสั่งฆ่าสามีของตัวเอง ศาลพิพากษาจำคุกตลอดชีวิต 


ผู้หญิงคนหนึ่งทำนามาครึ่งชีวิต ฝนแล้งเป็นหนี้เป็นสิน ที่ดินที่บ้านถูกยึด คนปกติอย่างเราจะหาทางออกในชีวิตอย่างไร บ้านถูกยึด ลูหลานจะทำอย่างไร มีคนเข้ามาเสนอให้ขายยาบ้า ให้ส่งยาบ้าแค่ครั้งเดียวทำงานเพียงไม่กี่ชั่วโมงก็จะได้เงิน ปรากฏว่าผู้หญิงคนนั้นพลาดถูกตำรวจจับได้ ในกระเป๋ามียาบ้าจำคุกตลอดชีวิต ตอนนี้ก็เข้ามาใช้ชีวิตอยู่ในเรือนจำ 


ผู้หญิงอีกรายหนึ่งอายุ 21 ปี เรียนจบปริญญาตรี เพื่อนชายชวนนั่งรถไปด้วยกัน โดยไม่รู้ว่าเพื่อนชายมียาไอซ์อยู่ภายในรถ เมื่อถูกจับในข้อหาร่วมกันมียาเสพติดไว้ในครอบครองจำคุก 14 ปี เราเป็นห่วงคนที่เรารัก เมื่อเราต้องเจอกับสถานการณ์แบบนี้ การที่เราต้องก้าวพลาดเข้าไปอยู่ภายในเรือนจำ ขณะนี้ประเทศไทยมีผู้ต้องขัง 526 คน แสนคน ติดอันดับที่มีผู้ต้องขังสูงเป็นอันดับ 4 ของโลก อันดับ 1 ยังเป็นของสหรัฐครองสถิติติดต่อมาหลายปี 


เราใช้การจำคุกเป็นเครื่องมือแก้ไขปัญหาสังคมซับซ้อน เราเอาคนเข้าไปอยู่ในเรือนจำกินข้าวฟรี บ้านไม่ต้องเช่า ข้าวไม่ต้องซื้อ แต่จริง ๆ แล้วชีวิตภายในเรือนจำไม่ได้ง่ายขนาดนั้น อาหารกินฟรีก็จริง แต่เป็นอาหารที่เราไม่มีทางเลือก คนเจ็บป่วยก็ต้องกินอาหารเหมือนกับทุกคนในเรือนจำ คนที่เป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคไขมันในเส้นเลือดก็ต้องกินอาหารอย่างเดียวกัน ไม่ได้มีแยกพิเศษสำหรับคนป่วย ตั้งแต่บ่าย 3 โมงไปแล้ว ทุกคนต้องอยู่ในเรือนนอนติดต่อกันเป็นเวลา 14 ชั่วโมง สิ่งเหล่านี้ก่อให้เกิดความสูญเสีย โดยเฉพาะคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในเรือนจำ 10 ปี 20 ปีขึ้นไป หรือตลอดชีวิต


เราทุกคนเคยได้ยินว่าเรือนจำคืนคนดีกลับสู่สังคม สิ่งที่กรมราชทัณฑ์ทำในการคืนคนดีกลับคืนสู่สังคม เราต้องใช้งบประมาณมากมายในการดูแลผู้ต้องขัง 56,514 บาท/ปี ค่าอาหาร พัฒนาการศึกษาเมื่อเปรียบเทียบกับการใช้เงินผู้พิการไม่ถึง 1,000 บาท/ปี ยังมีผู้ขาดโอกาสอื่น ๆ กลับได้รับโอกาสนี้น้อยกว่าผู้ต้องขัง ถ้าเทียบกับเราใช้เงินปีละเท่าไหร่ 


เราต้องสร้างสภาวการณ์ให้ทุกฝ่ายเป็นผู้ชนะ เราควรเลิกที่จะนำผู้ต้องขังทำผิดไปอยู่ในเรือนจำ อยากให้เปลี่ยนวิธีคิดเสียใหม่ คนในเรือนจำต้องการการมีชีวิตแบบคนปกติ ช่วยให้เขาได้พัฒนาตัวเองมากกว่า หางานที่เหมาะสมให้เขาได้ลงมือทำ ได้ทำในสิ่งที่เขาชอบ พูดคุยปรึกษาได้ เพิ่มพื้นที่สีเขียว ช่วยให้ผู้ต้องขังได้ปลูกพืชผักสวนครัวกิน ผู้ต้องขังหลายคนเมื่อเห็นพื้นที่สีเขียวปลูกผักแล้วทำให้เขาคิดถึงบ้าน มีจิตใจอ่อนโยน เกิดความมั่นคงในชีวิต ได้เลือกการทำกิจกรรมเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง การฝึกโยคะ ผ่อนคลาย มีสมาธิ ควบคุมตัวเองได้ เกิดอิสรภาพจากภายใน จากร่างกายที่ถูกจองจำรู้สึกอิสระ


หน่อแอริ ทุ่งเมืองทอง : ล่ามชุมชน สะพานเชื่อมยุคสมัย และผู้คนทุกชาติพันธุ์ 


ฟังเสียง...จากผู้ไร้เสียง ในเวทีเสียงที่ไม่ได้ยิน thaihealth


ปกากะญอ เชียงใหม่ ห่างจากตัวอำเภอ 45 กม. การเดินทางแต่ละครั้งไม่ได้ง่ายมีความยากลำบาก ตลอดเวลา 30 ปี ใช้เวลาเดินทางครั้งละ 2 ชั่วโมง ผู้หญิงชาติพันธุ์อยู่บนภูเขา ขับรถก็ไม่เป็น พูดภาษาไทยก็ไม่คล่อง มาฝึกพูดภาษาไทยให้ชัดขึ้นเพื่อจะได้สื่อสารคนชาติพันธุ์ เผ่าพื้นเมืองที่อยู่ในภูเขา เข้าถึงการรักษาพยาบาลได้รวดเร็วกว่าเก่า ที่ผ่านมานั้นมีช่องว่างระหว่างการเดินทาง ปัญหาการสื่อสาร ศัพท์ภาษาหมอที่ใช้ในชุมชน เรามีหมอตำแยทำคลอด หมอพื้นบ้านที่รักษาด้วยยาสมุนไพร หมอตำแยเราได้รับรองการแจ้งเกิดด้วยหมอตำแยในชุมชน หมอวิชาชีพในชุมชน ผู้หญิง เดินทางไปคลอดลูกที่ รพ. แต่บางครั้งก็ยังไปไม่ถึง รพ.ต้องคลอดระหว่างการเดินทาง กว่าจะไปถึง รพ.การเดินทางเต็มไปด้วยความยากลำบาก 


ความเป็นจริงยังมีช่องว่างอยู่ใน รพ. สถานประกอบการต่าง ๆ ภาษาหมอเป็นภาษาสั้น ๆ บางครั้งคนไข้ก็ไม่ได้เข้าใจทั้งหมด อย่างการบอกว่าให้ถอดรองเท้าไปชั่งน้ำหนัก หมอไม่ได้บอกให้ชัด ๆ ว่าให้คนไข้ชั่งน้ำหนัก เราก็เข้าใจผิดว่าให้ถอดรองเท้าแล้วเอารองเท้าไปชั่งน้ำหนัก เราก็นั่งรออยู่ใกล้ ๆ เครื่องชั่งน้ำหนัก ภาษาที่หมอพูดสั้นเกินไป ฟังไม่เข้าใจ หมอถามว่าน้องเป็นใครคะ น้องตอบเป็นลูก หมอน่าจะถามว่าไม่สบายเป็นอะไรคะ จะได้ตอบว่าเป็นไข้เป็นหวัด ศัพท์ของหมอแต่ละคำเป็นศัพท์ยาก เวลาให้ผู้หญิงเข้าไปในห้องตรวจหรือห้องแล็บ ห้องปฏิบัติการ เราก็ต้องใช้ความพยายาม สสส.ลงพื้นที่ ก็ต้องมีการพัฒนาล่ามเพื่อสื่อสารกับคนไข้เข้าใจ 


ล่ามที่เราพัฒนาเกิดช่องว่างเกี่ยวกับวัฒนธรรมประเพณีในชุมชนของเรา โดยเฉพาะผู้หญิง เวลาพูดเกิดความไม่มั่นใจในคำพูด คนที่มาตรวจภายในเจอหมอผู้ชายก็ไม่กล้าที่จะตรวจ เพราะตามขนบในบริบทของชนเผ่า เป็นเรื่องที่ปกปิดทางเพศไม่สามารถจะสื่อสารกับหมอได้ เมื่อเวลาไป รพ.เข้าไปในห้องตรวจ เรื่องอย่างนี้เป็นความละเอียดอ่อนต้องให้ความใส่ใจ ผู้หญิงชนเผ่าจะต้องอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยจริง ๆ


มีผู้หญิงคนหนึ่งปวดท้องคลอดลูก การคลอดลูกในบ้านอาจจะเกิดความผิดพลาดขึ้นมาได้ เราจะทำอย่างไรให้หมอตำแยมีองค์ความรู้วิชาการเหมือนกับแพทย์ช่วยเหลือคนในชุมชน ถ้าสามีไม่พาไปพบหมอที่ รพ. เขาจะไปพึ่งพาใครพาไป รพ. ทำอย่างไรให้ รพ.สต.มีบทบาทอำนวยความสะดวกได้มากขึ้น มีบุคลากรเฉพาะด้านหมอทำคลอด พื้นที่ตรวจภายในของผู้สูงอายุ พื้นที่สำหรับผู้พิการโดยเฉพาะ ด้วยองค์ความรู้ภูมิปัญญามีหมอสมุนไพร หมอตำแย ตั้งเป้าหมายให้คนหายป่วย เป็นการเชื่อมวิชาชีพความรู้อยู่ในชุมชน


Finale ตัวแทน 8 กลุ่มประกาศเจตนารมณ์ 'ก้าวย่างต่อไปในการสร้างเสริมสุขภาวะประชากรกลุ่มเฉพาะและความเป็นธรรมทางสุขภาพ'


ฟังเสียง...จากผู้ไร้เสียง ในเวทีเสียงที่ไม่ได้ยิน thaihealth


ความไม่เป็นธรรมไม่ว่าจะปรากฏขึ้นในแห่งหนใด ช่วงเวลาไหน ย่อมนำไปสู่ความเหลื่อมล้ำในหลายมิติ โดยเฉพาะมิติสุขภาพ กว่า 20 ปี ที่ผ่านมาองค์การอนามัยโลกได้พยายามกระตุกสังคมโลกให้เห็นปัญหาความเหลื่อมล้ำ ความไม่เป็นธรรมทางสุขภาพ ว่าไม่ได้เป็นผลมาจากพฤติกรรมส่วนบุคคล แต่ยังมีปัจจัยอื่นที่สำคัญกว่าเข้ามาเกี่ยวข้อง หรือที่พวกเราหลายคนคุ้นหู นั่นคือ "ปัจจัยทางสังคมกำหนดสุขภาพ" ทั้งเพศ สถานะทางทะเบียน อายุ วัฒนธรรม ความพิการ และการศึกษา 


บนผืนแผ่นดินไทยยังมี "พวกเรา" ที่มีความหลากหลาย แตกต่าง พวกเราถูกมองข้าม ไร้เสียง ไร้ตัวตน ไร้คุณค่า ถูกกีดกัน หลงลืมทิ้งไว้ข้างหลังและกลายเป็น "คนอื่น" พวกเรายังมีตัวตนและใช้ชีวิตอยู่ในสังคม แต่อาจไม่มีใคร…เคยสังเกตเห็น และมองข้ามไป พวกเรา…คนพิการ ผู้สูงอายุ ผู้มีปัญหาสถานะบุคคล กลุ่มชาติพันธุ์ ผู้หญิง ผู้ต้องขัง คนไร้บ้าน มุสลิม แรงงาน กลุ่มหลากหลายทางเพศ พวกเราคือประชากรกลุ่มเฉพาะ เราเคยส่งเสียง เคยแสดงพลัง เคยพยายามเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้น เป็นสังคมที่เป็นธรรม ปราศจากความเหลื่อมล้ำมาอย่างต่อเนื่อง อาทิ การขับเคลื่อนระบบขนส่งและบริการสาธารณะสำหรับทุกคน การเข้าถึงสิทธิและบริการสุขภาพ การสร้างสังคมที่ปราศจากความรุนแรง แต่ก็ยังไม่อาจสร้างให้เกิดสังคมที่ทุกคนอยู่ร่วมกันอย่างอยู่เย็นเป็นสุข


ถึงแม้พวกเราจะส่งเสียง แต่ก็อาจเป็นเพียงเสียงเล็ก ๆ ที่ยังไปไม่ถึงคนส่วนใหญ่ในสังคม ดังนั้นในวันนี้พวกเราจึงร่วมแสดงพลัง ร่วมส่งเสียง และประกาศเจตนารมณ์ร่วมกันว่า….ภายใต้ความแตกต่าง ความหลากหลาย พวกเราเชื่อว่า 1.เรามีความสามารถที่จะสร้างคุณค่าในตัวเอง เรามีพลังในการสร้างสรรค์และเปลี่ยนแปลงสังคม เพื่อให้พวกเราทุกคนได้มีคุณภาพชีวิต สุขภาวะที่ดี ในฐานะที่เป็นมนุษย์ที่มีศักดิ์ศรี และเสมอภาคอย่างเท่าเทียมกัน 2.เราจะร่วมกันพัฒนาศักยภาพ สร้างความสามารถในการจัดการตนเอง และเสริมพลังความเป็นเครือข่ายของประชากรทุกกลุ่มให้ไม่ถูกกีดกัน ไม่ถูกเลือกปฏิบัติ และไม่ถูกแบ่งแยก 


เพื่อให้ทุกคนบนแผ่นดินไทยมีสุขภาวะที่ดี เข้าถึงสิทธิ สวัสดิการสังคม มีรายได้ บนหลักการของการเคารพในความแตกต่างหลากหลาย รวมทั้งขจัดอุปสรรคที่กีดกัน สอดคล้องกับสถานการณ์และการเปลี่ยนแปลงบริบทของสังคมไทย รัฐพึงต้อง 1.ให้พวกเรามีส่วนร่วมในการทบทวน ปรับเปลี่ยนกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับที่รัฐเป็นผู้กำหนด 2.พัฒนาระบบและกลไกที่ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเป็นธรรมให้กับประชากรทุกกลุ่ม 3.สร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตร ปลอดภัย ทุกคนเข้าถึงได้ ที่เอื้อต่อการมีสุขภาวะที่ดี ทั้งร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ เพื่อให้ทุกคนบนแผ่นดินไทยอยู่เย็นเป็นสุขร่วมกัน ไม่มีการแบ่งแยก ไม่ทอดทิ้งกัน เราทุกคนในสังคมต้องร่วมมือกัน 1.ไม่ยอมรับ ไม่เพิกเฉยต่อความรุนแรงทุกรูปแบบที่เกิดขึ้นกับประชาชนทุกกลุ่ม ทั้งผู้หญิง ผู้สูงอายุ คนไร้บ้าน ชาติพันธุ์ ผู้ต้องขัง คนพิการ บุคคลหลากหลายทางเพศ และกลุ่มอื่น ๆ 2.เห็นคุณค่า เคารพในความแตกต่างหลากหลาย และเปิดโอกาสให้คนทุกกลุ่มได้เดินเคียงข้างกัน ท้ายที่สุดแล้วคำเรียกขานว่า "ประชากรกลุ่มเฉพาะ" จึงหมายถึง การฟื้นตัวตน ฟื้นความเป็นธรรม การเป็นส่วนสำคัญที่จะไม่ถูกกีดกัน ไม่ถูกเอาเปรียบโดยคนอื่น ไม่หลุดออกจากระบบ และหมายถึงการ "นับเสียงของเราด้วยคน" ต่อจากนี้ด้วย "เสียงของเราเอง"

Shares:
QR Code :
QR Code