“พาราลิมปิก” กีฬาระดับโลกของผู้พิการ?
ตอกย้ำทุกคนอยู่ในโลกใบเดียวกัน-ไล่ตามความฝันเหมือนกัน
เพิ่งผ่านพ้นพิธีเปิดอันยิ่งใหญ่ของกีฬาโอลิมปิกคนพิการหรือที่เรียกว่า “พาราลิมปิกเกมส์” เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2008 ณ กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ภายใต้สโลแกนเดียวกับกีฬาโอลิมปิก One World One Dream เพื่อตอกย้ำว่าทุกคนอยู่ในโลกใบเดียวกันและไล่ตามความฝันเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นคนปกติหรือคนพิการ
ในปีนี้ เจ้าภาพการจัดงาน อย่าง “จีน” รับประกันความอลังการมาว่า ยิ่งใหญ่ไม่แพ้พิธีเปิดของโอลิมปิกเกมส์
น่าเสียดายที่คนส่วนน้อยเท่านั้นที่จะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพิธีเปิดงานกีฬาคนพิการระดับโลก นอกจากรับชมภาพบางส่วนจากข่าวกีฬาตามหน้าจอโทรทัศน์
“พาราลิมปิกเกมส์” ถูกจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 13 หลังจากที่พาราลิมปิก ครั้งที่ 12 สิ้นสุดลง ณ กรุงเอเธนส์ ประเทศกรีซ เมื่อปี 2004 ที่ผ่านมา ซึ่งผลการแข่งขันในครั้งนั้น ประเทศไทยอยู่ในลำดับที่ 35 โดยมี 3 เหรียญทอง 6 เหรียญเงิน และ 6 เหรียญทองแดง
ในปี 2008 นี้ ทัพนักกีฬาคนพิการไทยได้ร่วมลงแข่งขันทั้งสิ้น 41 คน จากกีฬา 10 ชนิด ได้แก่ กรีฑา ว่ายน้ำ ยกน้ำหนัก ยิงธนู ยิงปืน เทเบิลเทนนิส วีลแชร์เทนนิส บอคเชีย ยูโด และฟันดาบ
“กีฬาสำหรับคนพิการ” จึงนับเป็นพื้นที่สำหรับคนพิการได้แสดงถึงศักยภาพที่มีอยู่ให้คนทั่วไปได้ประจักษ์
แต่น่าเสียดายที่ “ผู้พิการ” ด้วยกันเองสามารถรับชมกีฬาของพวกเขาในช่องทางที่ถูกจำกัด เพราะไม่มีการถ่ายทอดสดการแข่งขัน เช่นเดียวกับกีฬาโอลิมปิก เนื่องด้วยทุนทรัพย์ในการสนับสนุนที่ค่อนข้างจำกัด มีเพียงสถานีโทรทัศน์ 2 ช่องเท่านั้น ที่รายงานผลการแข่งขันภาพรวม 1 ชั่วโมงในแต่ละวัน ขณะที่ช่องทางการผลิตสื่อทางเลือกให้เหมาะสมกับประเภทความพิการกลับถูกละเลยเช่นเดียวกัน
นายจอม โกยทรัพย์ วัย 60 ปี บิดาของนายศุภชัย โกยทรัพย์ เจ้าของเหรียญทองจากวีลแชร์เรสซิ่ง ซึ่งลงแข่งในพาราลิมปิก ปักกิ่ง เล่าว่า “ระหว่างที่ลูกชายเตรียมลงแข่งขันก็ไม่ได้โทรศัพท์ไปหาลูก เพราะกลัวว่าจะเสียสมาธิ ได้แต่ติดตามข่าวของลูกชายผ่านทางโทรทัศน์ ทำให้ได้เห็นภาพลูกชายถือธงเป็นตัวแทนของประเทศในงานพิธีเปิด แต่เป็นภาพบางส่วนที่สรุปมาในแต่ละวัน ซึ่งผมอยากให้มีการถ่ายทอดในระหว่างการแข่งขันของคนไทย เพื่อให้คนไทยได้ร่วมลุ้นและดีใจไปกับนักกีฬาด้วย เพราะศุภชัย ทุ่มเทการซ้อมถึง 2 ปี”
นายกิตติพงษ์ สุทธิ ผู้อำนวยการสถาบันคนตาบอดแห่งชาติเพื่อการวิจัยและพัฒนา มองว่า ช่องทางติดตามรับชมกีฬาสำหรับผู้พิการเองค่อนข้างลำบาก และยังมีข้อจำกัด ส่วนใหญ่มักจะติดตามข่าวพาราลิมปิกจากสื่อกระแสหลัก เนื่องจากไม่มีการนำเสนอหรือจัดทำเพื่อนำเสนอเป็นการเฉพาะ จึงคอยฟังข่าวจากวิทยุ ปัญหาที่พบหลักๆ จึงมีอยู่ 2 เรื่อง คือ 1.การเข้าถึงสื่อกระแสหลัก ที่คนตาบอดอ่านหนังสือพิมพ์ไม่ได้ ขณะที่คนหูหนวกก็ฟังวิทยุไม่ได้ และ 2.การนำเสนอเนื้อหาค่อนข้างน้อย จะได้รับรู้ก็ต่อเมื่อได้รับเหรียญแล้วเท่านั้น
“คนพิการส่วนใหญ่เขาสนใจการแข่งขันกีฬาระดับโลกของคนพิการ เช่น คนตาบอดเขาสนใจว่า มีการแข่งขันกีฬาของคนตาบอดอะไรบ้าง ซึ่งติดตามได้ยาก สถาบันคนตาบอดจึงต้องผลิตช่องทางให้คนตาบอดเข้าถึงอีกช่องทางหนึ่งเท่าที่จะพอทำได้ นั่นคือ การสรุปข่าวในแต่ละวันให้กับคนตาบอดได้รับรู้ แต่ยังมีข้อจำกัดเพราะเนื้อหาส่วนใหญ่มาจากการรวบรวมจากสื่อกระแสหลักเท่านั้น ซึ่งมีเนื้อหาค่อนข้างน้อย”
เช่นเดียวกับ นายสุภรธรรม มงคลสวัสดิ์ เลขาธิการมูลนิธิพระมหาไถ่เพื่อการพัฒนาคนพิการ ซึ่งในปีนี้ได้มีนักกีฬาในมูลนิธิเข้าร่วมการแข่งขันจำนวน 7 คน และหนึ่งในนั้นคือ อดีตนักกีฬาเหรียญทองอย่าง “ศุภชัย โกยทรัพย์” และ “วรวิทย์ แก้วคำ” มองว่า ช่องทางการสื่อสารกีฬาพาราลิมปิก 2008 ที่คนทั่วไปหรือแม้แต่คนพิการได้ติดตามและรับรู้ยังมีน้อย มีเพียงการสรุปผลการแข่งขันที่สำคัญในแต่ละวันแต่ไม่มีการถ่ายทอดสด ซึ่งพาราลิมปิกเกมส์ ถือเป็นกีฬาระดับโลก ที่นักกีฬาคนพิการให้ความสนใจเพราะนี่คือเกมส์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของนักกีฬาคนพิการ
การรายงานผลของการแข่งขัน หรือเหรียญที่ได้รับเพียงอย่างเดียว มันไม่ได้แสดงถึงสปิริตที่ซ่อนอยู่ในการแข่งขัน นั่นคือ การส่งเสริมการออกกำลังกาย หรือ การส่งเสริมสุขภาพ
“พาราลิมปิกเกมส์” กีฬาระดับโลกของคนพิการ เพื่อเป็นเวทีแสดงความสามารถอันยอดเยี่ยมทางการกีฬา แต่น่าเสียดายที่ผู้พิการด้วยกันเอง กลับมีโอกาสที่น้อยนิดของการเข้าถึงและรับชมกีฬาของพวกเขา
เรื่องโดย : สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชน
ภาพประกอบ : อินเตอร์เน็ต
Update : 18-09-51