พัฒนาชุดเครื่องมือประเมิน “สมองส่วนหน้าสุด”

ที่มา: กรมสุขภาพจิต


พัฒนาชุดเครื่องมือประเมิน “สมองส่วนหน้าสุด”  thaihealth


แฟ้มภาพ


          สถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา กรมสุขภาพจิต ร่วมกับ ศูนย์วิจัยประสาทวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ศึกษาวิจัยพัฒนาชุดเครื่องมือการประเมินการทำงานของสมองส่วนหน้าสุดโดยตรง สำหรับใช้ในผู้ป่วยโรคจิตเภท เป็นการรักษาโรคแนวใหม่ ช่วยให้ทราบถึงความสามารถของผู้ป่วยในการรับรู้ กระบวนการคิด การวางแผน การตัดสินใจ การยับยั้ง การควบคุมตนเอง และการปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อม ช่วยให้จิตแพทย์ และทีมสหวิชาชีพสามารถวางแผนการดูแลผู้ป่วยได้ดีขึ้น รวมถึงสามารถพยากรณ์ผู้ป่วยได้ในระยะยาว


            นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า โรคจิตเภทเป็นสาเหตุของอาการทางจิตที่พบมากที่สุด และจัดเป็นโรคทางจิตเวชที่พบได้บ่อยที่สุดโรคหนึ่ง โดยข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (World  Health  Organization : WHO) ได้แสดงให้เห็นว่า มีประชากรของโลกอย่างน้อย 21 ล้านคนเป็นโรคจิตเภท ส่วนข้อมูลประเทศไทยพบผู้ป่วยเป็นโรคจิตเภท ประมาณ 600,000 คนทั่วประเทศ โรคจิตเภทเป็นโรคที่มีลักษณะเฉพาะ คือ จะมีอาการหลงผิด หูแว่ว ประสาทหลอน พูดจาฟัง  ไม่รู้เรื่อง มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เช่น แต่งกายแปลกๆ โรคจิตเภทเป็นโรคทางจิตเวชที่มักจะเป็นเรื้อรัง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผู้ป่วย รวมไปถึงครอบครัวและสังคมของผู้ป่วยอีกด้วย สำหรับการรักษาผู้ป่วยโรคจิตเภทนั้น ประกอบไปด้วยการรักษาด้วยยาต้านอาการทางจิต ซึ่งเน้นที่การใช้ยาไปปรับการทำงานของวงจรประสาทในหลายส่วนของสมอง กับการรักษาทางจิตสังคม ที่เน้นการฟื้นฟูสภาพของผู้ป่วยให้กลับไปดูแลตนเอง ทำกิจวัตรประจำวัน รวมไปถึงการทำงานหาเลี้ยงชีพ และอยู่ร่วมกับบุคคลอื่นในสังคมได้อย่างเป็นปกติสุข


            อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวต่อว่า ได้รับรายงานจากสถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา ซึ่งเป็นโรงพยาบาลเฉพาะทาง จิตเวชแห่งแรกของประเทศไทย และมีความเชี่ยวชาญในการดูแลผู้ป่วยโรคจิตเภทมาเป็นเวลานาน รวมถึงมีผู้ป่วยโรคจิตเภทที่ติดตามการรักษาเป็นจำนวนมาก ได้ทำการศึกษาร่วมกับศูนย์วิจัยประสาทวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า การทำงานของสมองในผู้ป่วยโรคจิตเภทเรื้อรังที่มาเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่องและได้รับการรักษาด้วยยาต้านอาการทางจิตอย่างสม่ำเสมอแล้ว ยังคงมีความผิดปกติของการทำงานของสมองส่วนหน้าสุด (prefrontal cortex : PFC) แตกต่างไปจากคนปกติ เนื่องจากการทำงานของสมอง  ส่วนหน้าสุดเป็นสมองส่วนที่มีความสำคัญในการดำรงชีวิตของมนุษย์และการอยู่ร่วมกันในสังคมเป็นอย่างมาก ซึ่งการประเมินการทำงานของสมองส่วนหน้าสุด จะช่วยให้ทราบถึงความสามารถของผู้ป่วยในการรับรู้ กระบวนการคิด การวางแผน การตัดสินใจ การยับยั้ง  การควบคุมตนเอง และการปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อม ดังนั้น จึงได้ร่วมกันพัฒนาชุดเครื่องมือในการประเมินการทำงานของสมองส่วนหน้าสุดโดยตรง ในผู้ป่วยจิตเภทสำหรับใช้ในเวชปฏิบัติ ทั้งการประเมินปัญหาผู้ป่วยและการหาแนวทางบำบัดฟื้นฟูสมองส่วนหน้าสุด นับเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการรักษาใหม่ๆ สามารถใช้ร่วมกับการประเมินคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย และความสามารถทางสังคม  ซึ่งการศึกษาวิจัยนี้อยู่ระหว่างดำเนินการ โดยจะแล้วเสร็จภายในเดือนพฤษภาคม 2562


            ทางด้านนายแพทย์นพดล  วาณิชฤดี  รักษาราชการแทนผู้อำนวยการสถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา กล่าวเพิ่มเติมว่า ประโยชน์ที่ได้รับจากการศึกษาวิจัยการพัฒนาชุดเครื่องมือการประเมินการทำงานของสมองส่วนหน้าสุดโดยตรง สำหรับใช้ในผู้ป่วยโรคจิตเภทในครั้งนี้ นอกเหนือจากได้องค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และจิตเวชศาสตร์แล้ว จะได้ชุดเครื่องมือทั้งในรูปแบบของการประเมินเบื้องต้นและฉบับสมบูรณ์ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการดูแลผู้ป่วยโรคจิตเภทในการประเมินการทำงานของสมองส่วนหน้าสุดอย่างเป็นรูปธรรม การทราบถึงความสามารถในการทำงานของสมองส่วนหน้าสุดในผู้ป่วยโรคจิตเภทหลังจากการรักษา จะช่วยให้แพทย์และบุคลากรทางสาธารณสุข ให้การบำบัดฟื้นฟูความสามารถในส่วนที่พบความบกพร่อง อันจะช่วยให้ผู้ป่วยคงไว้ซึ่งศักยภาพในการหาเลี้ยงชีพ และดำรงชีวิตในสังคมได้อย่างเหมาะสม ผู้ป่วยที่มีผลการประเมินการทำงานของสมองส่วนหน้าสุดค่อนข้างดี จะมีโอกาสประสบความสำเร็จในการกลับคืนสู่สังคมได้มากกว่ารายที่มีผลการประเมินไม่ดี


            ดังนั้น การประเมินการทำงานของสมองส่วนหน้าสุดนี้ จึงเป็นตัวช่วยในการวางแผนการติดตามผู้ป่วยให้เป็นไปอย่างเหมาะสม และทำให้ได้ทราบถึงความต้องการการฝึกทักษะในการดำรงชีวิตของผู้ป่วยแต่ละคนว่า มีความต้องการในด้านใดบ้าง มากหรือน้อยเพียงใด ซึ่งจะนำไปสู่การดูแลผู้ป่วยที่ตรงกับความต้องการของตัวผู้ป่วยและผู้ดูแลมากขึ้น ลดค่าใช้จ่ายในการส่งตรวจหรือการฝึกทักษะที่ไม่จำเป็น แต่เน้นไปที่การฟื้นฟูเฉพาะจุด ผู้ที่ดูแลผู้ป่วยในระยะยาวจะได้ทราบถึงความสามารถในการคิดและการปรับตัวของผู้ป่วย ทำให้ครอบครัวและชุมชนสามารถเตรียมความพร้อมในการร่วมกันดูแลผู้ป่วยได้

Shares:
QR Code :
QR Code