พร้อมทดสอบวัคซีน ป้องกันโควิดในมนุษย์

ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ


พร้อมทดสอบวัคซีน ป้องกันโควิดในมนุษย์ thaihealth


แฟ้มภาพ


การพัฒนาวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 มีความคืบหน้าอย่างมาก โดยทางศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ พร้อมจะทดลองในมนุษย์เฟสแรก หากทุกขั้นตอนสำเร็จ คาดว่าน่าจะมีวัคซีนป้องกันในปี 2564


สถานการณ์โควิด-19 นอกจากการเตรียมพร้อมการรักษา ยังนำไปสู่การคิดค้นวัคซีนเพื่อป้องกัน โดยปัจจุบัน มีวัคซีนที่ขึ้นทะเบียนกับองค์การอนามัยโลก (WHO) จำนวน 129 รายการ อยู่ระหว่างการทดสอบในมนุษย์ 18 รายการ แบ่งเป็น เฟส 1 จำนวน 9 รายการ เฟส1/2 จำนวน 6 รายการ เฟส 2 จำนวน 2 รายการ และ เฟส 3 จำนวน 1 รายการ


ขณะที่ประเทศไทย ซึ่งได้ขึ้นทะเบียน วัคซีน 3 ชนิด ได้แก่ mRNA , ดีเอ็นเอวัคซีน และ วัคซีนชนิดโปรตีนจากพืช ทั้งนี้ วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ชนิด mRNA ที่มีชื่อว่า "Chula-Covid19" ซึ่งพัฒนาโดย โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศูนย์วิจัยวัคซีน


คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับ มหาวิทยาลัย เพนซิลเวเนีย โดยการสนับสนุนจาก สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.), สถาบันวัคซีนแห่งชาติ, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเงินบริจาคกองทุน โดยที่ผ่านมาได้มีการทดสอบประสิทธิภาพวัคซีนโดยวัด ระดับแอนติบอดี้ในเลือดสัตว์ทดลอง โดยผลการทดลองจากหนู พบว่า ได้รับวัคซีนเข็มแรกภูมิคุ้มกันขึ้นมาระดับ 100 ไตเตอร์ เข็มที่ 2 ฉีดหลังจากนั้น 1 เดือน ภูมิคุ้มกันขึ้นมาระดับ 4 หมื่นไตเตอร์


หลังจากนั้น ได้ทำการทดลองในลิง 13 ตัว ควบคู่กันไป ณ ศูนย์วิจัยไพรเมท แห่งชาติ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยเข็มแรก 23 พ.ค เข็มที่ 2 วันที่ 22 มิ.ย. ติดตามผลทุก 15 วัน พบว่าภูมิคุ้มกันลิงขึ้นมาระดับเฉลี่ย 5,120 ไตเตอร์ เตรียมส่งวัคซีนผลิต และทดลองในมนุษย์ต่อไป


ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ศ.นพ.สุทธิพงศ์ วัชรสินธุ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย แถลงความคืบหน้า วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ชนิด mRNA หรือ "Chula-Covid19" โดยระบุว่า จากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในประเทศไทยที่ผ่านมา โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้จัดเตรียมความพร้อมของสถานที่ แพทย์ พยาบาล บุคลากร เทคโนโลยีต่างๆ ที่ทันสมัย มีมาตรฐาน นำมาใช้ในการตรวจคัดกรองประชาชนเป็นอย่างมีประสิทธิภาพ


นอกจากนี้ทางด้านศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นับว่าสถาบันการวิจัยทางการแพทย์ที่ได้รับความร่วมมือจากนักวิจัยทางการแพทย์ และวิทยาศาสตร์ทั้งในระดับประเทศและระดับโลกร่วมกันเดินหน้าพัฒนาวิจัยต่อยอดการคิดค้นผลิตวัคซีน เพื่อใช้ในการป้องกันโรคต่างๆ ให้กับประชาชนมาอย่างต่อเนื่อง


โดยล่าสุด ศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับ มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย พัฒนาวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ชนิด mRNA ที่มีชื่อว่า "Chula-Covid19" ผลการทดสอบวัคซีนโควิด-19 ในลิงเข็มที่ 2 พบว่า ลิงสร้างภูมิคุ้มกันได้ในระดับสูง มีสุขภาพดี เดินหน้าทดสอบในมนุษย์ตามแผน


ด้าน ศ.นพ.เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม ผู้อำนวยการบริหารโครงการพัฒนาวัคซีน โควิด-19 ศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า วัคซีน "Chula-Covid19" เป็นวัคซีนชนิด mRNA ที่ผลิตจากสารพันธุกรรมของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่บางส่วน ซึ่งเมื่อชิ้นส่วนของสารพันธุกรรมนี้ถูกฉีดเข้าไปในร่างกาย จะถูกเปลี่ยนเป็นโปรตีนเพื่อกระตุ้นให้เกิดการสร้างภูมิคุ้มกันชนิดแอนติบอดี้ที่ช่วยต่อสู้กับไวรัสได้


สำหรับความคืบหน้าล่าสุด ผลการตรวจเลือดลิงหลังจากได้รับการฉีดวัคซีน Chula-Covid19 กระตุ้นเข็มที่ 2 ที่ศูนย์วิจัยไพรเมทแห่งชาติ จุฬาฯ เป็นเวลาสองสัปดาห์ พบว่าลิงที่ได้รับวัคซีนทุกตัวมีระดับภูมิคุ้มกันที่เพิ่มขึ้น โดยมีระดับภูมิคุ้มกันที่สูง เฉลี่ย 5,120 ไตเตอร์ นอกจากนี้ ยังพบว่าลิงทุกตัวมีสุขภาพแข็งแรง และไม่มีผลข้างเคียง จากการได้รับวัคซีน อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมนุษย์มีร่างกายใหญ่กว่าลิง ประสิทธิภาพการกระตุ้นภูมิคุ้มกัน อาจต่ำกว่าลิงราว 5-10 เท่า


จากผลการทดสอบนี้ ศูนย์วิจัยวัคซีนฯ จะเริ่มสั่งผลิตวัคซีน mRNA จำนวน 2 ชนิด ซึ่งมีความแตกต่างในแง่ของพันธุกรรม เล็กน้อย โดยส่งผลิต 2 โรงงาน ได้แก่ โรงงานแรกในสหรัฐ ผลิตเนื้อวัคซีน คาดแล้วเสร็จในเดือน ต.ค. 63 และส่งไป ยังโรงงานที่ 2 ในแคนาดา ผลิตไขมัน เคลือบวัคซีน ในเดือน พ.ย. 2563 เพื่อให้พร้อมสำหรับการทดสอบในมนุษย์ ตามแผน โดยต้องเตรียมวัคซีนราว 10,000 โดส ใช้ได้ 5,000 คน อย่างไรก็ตาม หลังจากได้วัคซีนมา จะต้องทดลองความเป็นพิษ ในหนูอีกรอบ เพื่อความปลอดภัยของมนุษย์


ทั้งนี้ ในขั้นตอนการทดสอบในมนุษย์เฟสแรก กับอาสาสมัครจำนวน 150 คน แบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มอายุ 18-60 ปี 75 คน และ กลุ่มอายุ 60-80 ปี 75 คน โดยจะให้วัคซีนในระดับที่แตกต่างกัน ตั้งแต่โดส 10, 30 และ 100 ไมโครกรัม กลุ่มละ 15 คน หลังจากนั้น 1 เดือน กระตุ้นเข็ม 2 ในปริมาณเท่าเดิม


นอกจากนี้ ยังมีอีก 2 กลุ่ม ที่ให้วัคซีนสองเข็มในโดสที่แตกต่างกัน โดยกลุ่มแรก ให้เข็มแรก 30 ไมโครกรัม และกระตุ้น ครั้งที่สอง 10 ไมโครกรัม ขณะที่อีกกลุ่มให้เข็มแรก 100 ไมโครกรัม และเข็มสอง 10 ไมโครกรัม หากทั้งหมดนี้มีความปลอดภัย ก็จะให้วัคซีนในอาสาสมัครอายุ 61-80 ปี จำนวน 75 คน ต่อไป โดยเฟสแรกคาดว่า จะใช้เวลาประมาณ 2 เดือน แล้วเสร็จประมาณสิ้นปี 2563 ขณะที่การทดสอบวัคซีน ในเฟสที่ 2 จะใช้อาสาสมัครประมาณ 500-1,000 คน คาดว่าจะรู้ผลในกลางปี 2564


สำหรับการทดลองเฟสที่ 3 ซึ่งต้องทดลองในพื้นที่ที่มีผู้ติดเชื้อ อาจทดลอง ในประเทศไทยไม่ได้ เพราะไม่มีคนติดเชื้อโควิด-19 ดังนั้น จึงต้องมีการคุยกับ ทางประเทศที่มีการระบาดอยู่ แต่หากมีประเทศใดที่ผลิตวัคซีนสำเร็จ ก็จะไม่มี การทดลองในเฟสที่ 3 นี้ และคาดว่ารัฐบาลจะต้องเตรียมการสั่งซื้อวัคซีนจากต่างประเทศร่วมด้วย


"สิ่งเร่งด่วนของไทย ต้องเข้าสู่ขั้นตอนการทดลองในมนุษย์ให้เร็วที่สุด เราลุ้นกันตรงนี้มาก อย่างไรก็ตาม ก็ต้องอยู่บนพื้นฐานความปลอดภัยมาอันดับหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่มีการเปิดรับอาสาสมัคร เนื่องจากต้องรอคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในคน คณะแพทย์ฯ จุฬาฯ อนุมัติ เร็วที่สุดคาดว่าจะเปิดรับสมัครภายในปลายเดือนกันยายนนี้" ศ.นพ.เกียรติ กล่าว


ศ.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล เลขาธิการคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ กล่าวเสริมว่า วัคซีนโควิด-19 คือการวิจัยที่จำเป็น ขณะเดียวกัน ก็เป็นเรื่องที่มีความไม่แน่นอนสูง และเราต้องการได้คำตอบ วัคซีนจำเป็นต้องมีการลงทุนล่วงหน้า ระยะยาว ราคาสูง การลงทุนที่ว่าเหมือนการซื้อประกัน เราไม่แน่ใจว่าเราจะได้ใช้หรือไม่ แต่หากเกิดเหตุการณ์ขึ้นก็เป็นสิ่งที่คุ้มค่า


"ดังนั้น 2 เรื่องสำคัญ คือ จำเป็นต้องมีความร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ทำงานร่วมกันเชื่อมโยงนักวิจัย และการทำงานแบบคู่ขนาน ทั้งการวิจัยพัฒนาร่วมมือกับต่างประเทศ และร่วมกับบริษัทผู้ผลิตทั้งไทยและ ต่างประเทศ" ศ.นพ.สิริฤกษ์ กล่าว

Shares:
QR Code :
QR Code