พระสงฆ์กับศาสนกิจในพื้นที่เสี่ยงภัย

พระสงฆ์กับศาสนกิจในพื้นที่เสี่ยงภัย thaihealth


“หากไม่มีพระสงฆ์ในพื้นที่ ชาวพุทธก็คงหมดที่พึ่ง ก็เชื่อได้ว่าพระพุทธศาสนาได้หมดไปแล้ว แม้วันใดวันหนึ่งข้างหน้า พระพุทธศาสนาจะหมดไปจาก 5 จังหวัดชายแดนใต้ ก็ขอให้วันนั้นมีพระสงฆ์เดินออกจากพื้นที่เป็นคนสุดท้าย" โอวาทสมเด็จ พระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) เมื่อครั้งเครือข่ายพระธรรมทูตอาสา 5 จังหวัดชายแดน ภาคใต้ ได้แก่ นราธิวาส ยะลา ปัตตานี สงขลา และสตูล เข้ารับโล่เกียรติคุณ เมื่อปีพ.ศ.2555


ในการ "สัมมนาเชิงวิชาการเพื่อพัฒนางานในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้" ซึ่งจัดขึ้นเมื่อช่วงปลายเดือนมีนาคม 2558 เป็นการร่วมมือกันระหว่างสำนักงานส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรมฯ วัดสระเกศ กลุ่มเพื่อชีวิตดีงาม, ตัวแทนเครือข่ายพระธรรมทูตอาสา 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และพระผู้เข้าร่วมโครงการวิจัยและพัฒนาพระนิสิตสู่อุดมการณ์พระพุทธศาสนาเพื่อสังคม โดยกองกิจการนิสิตร่วมกับสถาบันวิจัยพุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ร่วมสนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ สสส.


แลกเปลี่ยนเรียนรู้วิธีการทำงานของ พระธรรมทูตอาสาในพื้นที่กับนักวิจัยที่พยายามบูรณาการทรัพยากรเพื่อนำไปช่วยแก้ไขปัญหาดังกล่าว การจัดสัมมนาครั้งนี้ จัดขึ้นที่ศาลาสุวรรณบรรพต (หลวงพ่อโชคดี) วัดสระเกศ ราชวรมหาวิหาร กรุงเทพฯ


พระวิจิตรธรรมาภรณ์ ในฐานะผู้ช่วยเลขานุการสำนักงานส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรมฯ เล่าถึงความสำคัญของการปฏิบัติงานในพื้นที่ของพระธรรมทูตอาสา 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ว่า เป็นโครงการส่งเสริมความมั่นคงของสถาบันพระพุทธศาสนาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ จัดขึ้นโดยดำริของเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) อดีตเจ้าอาวาสวัดสระเกศ ภายใต้การดำเนินงานของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ร่วมกับสำนักงานส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม และความมั่นคงแห่งสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ วัดสระเกศ เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2553 จนถึงปัจจุบัน ดำเนินการแล้วจำนวน 4 รุ่น มีพระสงฆ์ผ่านการอบรมตามหลักสูตร จำนวนกว่า 300 รูป


"ในเมืองไทยเรามีข้อดีกว่าต่างประเทศมาก วัดสามารถพัฒนาได้ เพราะมีกฎหมายรองรับ แต่พระก็ต้องเป็นกำลังหลักในพื้นที่ และอีกส่วนก็ต้องอาศัยการวิจัยให้ถูกต้องด้วย ส่วนการจะวิจารณ์กันก็ควรให้ตรงหรือถูกตามธรรมด้วยเพื่อกระตุ้นให้ดำเนินการแก้ไขได้ถูกต้องและดีงาม เคยได้ยินพระในพื้นที่ท่านเล่าให้ฟังว่า บางพื้นที่มีวัดร้างไม่มีพระเหลือเลย แต่ก็มีโยมเข้าไปวัดไปถวายอาหารพระพุทธรูปอยู่ยิ่งทำให้สะเทือนใจ และเราอย่ามองว่าพระพุทธรูปหรือวัดวาอารามเป็นแค่เพียงวัตถุ เพราะสิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าสมัยหนึ่งมีคนที่มีศรัทธาอันหยั่งลงลึกมากๆ จึงจะสามารถเสียสละทรัพย์หรือแรงกายเพื่อสร้างขึ้นมาได้เราต้องช่วยกันรักษาให้ถึงที่สุด"


ความคิดเห็นมากมายเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นจากพระในพื้นที่ ดังนี้


1.การขาดอุดมการณ์ สมัยก่อนมีพระเถระอันเป็นที่น่าศรัทธาของทั้งพระและสามเณรรวมถึงฆราวาส แต่พอท่านเหล่านี้พระสงฆ์กับศาสนกิจในพื้นที่เสี่ยงภัย thaihealthเสียชีวิตไปทั้งตามอายุขัยหรือตามเหตุการณ์ความรุนแรง พลอยทำให้เกิดความหวั่นไหวทางด้านศรัทธาหรืออุดมการณ์ของพระหนุ่ม เณรน้อย และฆราวาสญาติโยม


2.ขาดหลักธรรมที่ทำให้เกิดความสามัคคี เช่น อปริหานิยธรรม สาราณียธรรม เป็นต้น


3.ขาดความตระหนักถึงปัญหาที่เกิดขึ้น ในพระนอกพื้นที่ว่ามีความรุนแรงเพียงใด หากภัยดังกล่าวลุกลามไปมากกว่าที่เป็นอยู่


4.ขาดความรู้และความเข้าใจต่อสถานการณ์ความเป็นจริง


5.พระและคนในพื้นที่ไม่ได้รับการสนับสนุนให้เข้าไปมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหามากนัก


พระมหาสุทิตย์ อาภากโร ผอ.สถาบันวิจัยพุทธศาสตร์ มหาจุฬาฯ กล่าวปิดท้าย "เราควรมีท่าทีเป็นมิตรและมองคนอื่นในฐานะเพื่อน นั่นคือจุดเริ่มต้นของการแก้ปัญหา และการทำงานผ่านงานวิจัยนี้ พระธรรมทูตอาสาต้องทำงานเหมือนหนอนที่รู้รายละเอียดในพื้นที่ก็เหมือนหนอนที่รู้ทุกส่วนของต้นไม้เป็นอย่างดี ขณะที่พระอย่างอาตมา เหมือนนกที่บินอยู่เหนือต้นไม้ ได้เห็นความเป็นไปโดยรอบ และต้องบินจากต้นนี้ไปต้นนั้นอยู่นิ่งไม่ได้ ต้องทำงานเชื่อมโยงปัญหาทุกส่วนทั่วประเทศ ส่วนผู้บริหารคือพระเถระผู้ใหญ่ก็เหมือนเหยี่ยว ที่ท่านจะได้วางวิสัยทัศน์ให้เรา เหมือนเหยี่ยวที่มองได้อย่างกว้างไกล"


แม้ปัญหาจะหนักและซับซ้อน แต่ด้วย การตั้งใจจึงทำให้เกิดมุมมองต่อปัญหาและแนวทางการแก้ไขที่ชัดเจนยิ่งขึ้น เพื่อสร้างความสุขสงบให้เกิดขึ้นในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนใต้อีกครั้ง


 


 


ที่มา: หนังสือพิมพ์ข่าวสด


ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

Shares:
QR Code :
QR Code