พระราชกรณียกิจด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

พระราชกรณียกิจด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

 

พระราชกรณียกิจด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

 

 

          พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้สร้างความสัมพันธ์กับนานาประเทศด้วยดีเสมอมา ตลอดระยะเวลาของการขึ้นครองราชย์ โดยในระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๐๒ ถึง ๒๕๑๐ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศต่างๆ ทั้งในทวีปเอเชีย ยุโรป และอเมริกา รวม ๒๗ ประเทศ เพื่อเป็นการเจริญพระราชไมตรีกับบรรดามิตรประเทศเหล่านั้นให้มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น และเพื่อนำความปรารถนาดีของประชาชนชาวไทยไปมอบให้กับประชาชนในประเทศต่างๆ โดยรายชื่อประเทศต่างๆ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินเยือน มีตามลำดับดังนี้

 

          · ประเทศเวียดนามใต้ ระหว่างวันที่ ๑๘ – ๒๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๐๒

 

          · สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ระหว่างวันที่ ๘ – ๑๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๐๓

 

          · สหภาพพม่า ระหว่างวันที่ ๒ – ๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๐๓

 

          · สหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ ๑๔ มิถุนายน – ๑๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๐๓

 

          · ประเทศอังกฤษ ระหว่างวันที่ ๑๙ – ๒๓ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๐๓

 

          · สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมัน ระหว่างวันที่ ๒๕ กรกฎาคม – ๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๐๓

 

          · สาธารณรัฐโปรตุเกส ระหว่างวันที่ ๒๒ – ๒๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๐๓

 

          · ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ระหว่างวันที่ ๒๙ – ๓๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๐๓

 

          · ประเทศเดนมาร์ก ระหว่างวันที่ ๖ – ๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๐๓

 

          · ประเทศนอร์เวย์ ระหว่างวันที่ ๑๙ – ๒๑ กันยายน พ.ศ. ๒๕๐๓

 

          · ประเทศสวีเดน ระหว่างวันที่ ๒๓ – ๒๕ กันยายน พ.ศ. ๒๕๐๓

 

          · สาธารณรัฐอิตาลี ระหว่างวันที่ ๒๘ กันยายน – ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๐๓

 

          · นครรัฐวาติกัน เมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๐๓

 

          · ประเทศเบลเยียม ระหว่างวันที่ ๔ – ๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๐๓

 

          · สาธารณรัฐฝรั่งเศส ระหว่างวันที่ ๑๑ – ๑๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๐๓

 

          · ประเทศลักเซมเบิร์ก ระหว่างวันที่ ๑๗ ตุลาคม – ๑๙ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๐๓

 

          · ประเทศเนเธอร์แลนด์ ระหว่างวันที่ ๒๔ – ๒๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๐๓

 

          · ประเทศสเปน ระหว่างวันที่ ๓ – ๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๐๓

 

          · สาธารณรัฐอิสลามปากีสถาน ระหว่างวันที่ ๑๑ – ๒๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๐๕

 

          · สหพันธรัฐมลายา ระหว่างวันที่ ๒๐ – ๒๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๐๕

 

          · ประเทศนิวซีแลนด์ ระหว่างวันที่ ๑๘ – ๒๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๐๕

 

          · ประเทศออสเตรเลีย ระหว่างวันที่ ๒๖ สิงหาคม – ๑๒ กันยายน พ.ศ. ๒๕๐๕

 

          · ประเทศญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ ๒๗ พฤษภาคม – ๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๐๖

 

          · สาธารณรัฐจีน ระหว่างวันที่ ๕ – ๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๐๖

 

          · สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ระหว่างวันที่ ๙ – ๑๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๐๖

 

          · สาธารณรัฐออสเตรีย ระหว่างวันที่ ๒๙ กันยายน – ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๐๗

 

          · สาธารณรัฐเยอรมัน ระหว่างวันที่ ๒๒ – ๒๘ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๐๙ (เป็นการเสด็จพระราชดำเนินเยือนครั้งที่สอง)

 

          · สาธารณรัฐออสเตรีย ระหว่างวันที่ ๒๙ กันยายน – ๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๐๙ (เป็นการเสด็จพระราชดำเนินเยือนครั้งที่สอง)

 

          · ประเทศอิหร่าน ระหว่างวันที่ ๒๓ – ๓๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๑๐

 

          · สหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ ๖ มิถุนายน – ๒๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๑๐ (เป็นการเสด็จพระราชดำเนินเยือนครั้งที่สอง)

 

          · ประเทศแคนาดา ระหว่างวันที่ ๒๑ – ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๑๐

 

          จากนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็มิได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศอีก เพราะทรงเห็นว่าพระราชภารกิจภายในประเทศนั้นมีมากมาย อย่างไรก็ตาม หากประมุขหรือรัฐบาลของประเทศใดกราบบังคมทูลเชิญให้เสด็จฯ ไปเยี่ยมเยือน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้พระราชโอรส หรือพระราชธิดา เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ เพื่อเจริญสัมพันธไมตรี รวมทั้งเพื่อทอดพระเนตรวิทยาการ และศิลปวัฒนธรรมของชาตินั้นๆ

 

          จนกระทั่งวันที่ ๘ – ๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๓๗ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศลาว พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ซึ่งนับเป็นการเสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศอีกครั้ง หลังจากที่ว่างเว้นมาเป็นเวลานานกว่า ๓๐ ปี

 

          พระราชกรณียกิจด้านการต่างประเทศของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้น รวมไปถึงการเสด็จพระราชดำเนินออกให้การต้อนรับราชอาคันตุกะจากประเทศต่างๆ ที่เดินทางมาเยือนประเทศไทย ทั้งยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้บรรดาทูตานุทูตเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายสาส์นตราตั้งในการเข้ามารับตำแหน่งในประเทศไทย และถวายบังคมทูลลาเมื่อครบวาระอีกด้วย

 

 

 

การส่งพระราชสาสน์ต่อประมุขต่างประเทศ

 

 

          พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชสาสน์ต่อประมุข-ผู้นำรัฐต่างประเทศ ซึ่งมีทั้งพระราชสาสน์แสดงความยินดี และพระราชสาสน์แสดงความเสียใจ ในโอกาสต่างๆ ที่เกิดขึ้น นับเป็นการสร้างและกระชับความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศ

 

          อย่างเมื่อไม่นานมานี้ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงผู้นำของประเทศมหาอำนาจอย่างประเทศสหรัฐอเมริกา คือการแต่งตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ ดังนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ จึงทรงตระหนักและเล็งเห็นถึงความสำคัญต่อการสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศ

 

          เมื่อวันที่ 20 มกราคม พ.ศ 2552 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชสาส์นถึงนายบารัค ฮุสเซน โอบามา ที่กำลังจะเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาคนที่ 44 โดยมีข้อความว่า

 

           ในโอกาสที่ท่านเข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา ข้าพเจ้ามีความยินดีขอส่งคำอวยพรและความปรารถนาดีอย่างจริงใจมา เพื่อท่านประธานาธิบดีประสบความสำเร็จและความสุขสวัสดิ์ ทั้งเพื่อความเจริญก้าวหน้าของประชาชน และความรุ่งเรืองไพบูลย์ยิ่งขึ้นของสหรัฐอเมริกา ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า ความสัมพันธ์ฉันมิตรและความร่วมมืออันใกล้ชิดระหว่างประเทศและประชาชนของเราทั้งสองจะกระชับแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นต่อไปในภายภาคหน้า

 

 

 

การต้อนรับการมาเยือนของพระราชอาคันตุกะ

 

 

          การต้อนรับการมาเยือนของประมุขและผู้นำประเทศต่างๆ ในฐานะพระราชอาคันตุกะของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในโอกาสต่างๆ อย่างสมพระเกียรตินั้น นอกจากเป็นการเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรม และประวัติศาสตร์อันยาวนานของประเทศอันล้ำค่าสู่สายตาต่างประเทศ ยังเป็นการสร้างความประทับใจ และการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอีกด้วย

 

พระราชกรณียกิจด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

          พระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ผ่านพ้นไป ได้มีการต้อนรับการเสด็จเยือนไทยของพระราชอาคันตุกะ ๒๕ ประเทศ การมาเยือนของพระราชอาคันตุกะยังส่งผลดีต่อภาพรวมของประเทศในหลายด้าน ทั้งในด้านการค้า การท่องเที่ยวและการลงทุน

 

          นอกจากผลดีในด้านเศรษฐกิจแล้ว การมาเยือนของพระราชอาคันตุกะเป็นการแสดงให้เห็นว่า สถาบันกษัตริย์แต่ละประเทศต่างให้เกียรติกันและกัน และต้องการรักษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ส่งผลดีต่อการยกระดับความสัมพันธ์ทางการทูตในระดับต่างๆ

 

 

 

การยกระดับความสัมพันธ์กับประเทศที่ไม่ได้ใกล้ชิดกับประเทศไทย

 

          ผู้นำจากบางประเทศที่ไม่ได้เยือนประเทศไทยมาเป็นเวลานานแล้ว หรือไม่เคยมาเยือนอย่างเป็นทางการ การได้มาเข้าร่วมงานนี้เสมือนประกาศความสัมพันธ์ระดับของราชวงศ์เป็นครั้งแรก อาทิ ประเทศเลโซโทที่แม้มีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๓๒ แต่ไม่เคยมีการมาเยือนอย่างเป็นทางการของพระประมุข ประเทศลิกเตนสไตน์ที่สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับไทยได้เพียง ๙ ปี และไม่มีการแต่งตั้งเอกอัครราชทูตในไทย แต่ใช้วิธีการมอบหมายให้เอกอัครราชทูตจีนที่มีเขตครอบคลุมประเทศไทยด้วย

 

 

 

การกระชับความสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับประเทศที่สัมพันธ์ดีกับไทย

 

          หลายประเทศมีความสัมพันธ์ที่ดีกับไทยทั้งในมิติของความสัมพันธ์ระหว่างราชวงศ์ต่อราชวงศ์ ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาล ความสัมพันธ์ทางการทูต และความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างประเทศ การมาครั้งนี้จึงเป็นการแสดงไมตรีจิต และยืนยันความสัมพันธ์ที่อาจนำไปสู่การสานต่อความสัมพันธ์ด้านการค้าและการลงทุน เช่น ประเทศคูเวตที่มีความสัมพันธ์ทางการค้าและแรงงานที่ดีกับไทยตลอดมา ประเทศญี่ปุ่นที่มีความสัมพันธ์ทางราชวงศ์ที่ดีต่อกันเห็นได้จากการเสด็จเยือนกันและกันมาโดยตลอด ประเทศมาเลเซียที่แสดงออกอย่างชัดเจนในความสัมพันธ์ที่ดีโดยการปล่อยตัวคนไทยที่กระทำความผิด ๑๒๑ คนกลับสู่มาตุภูมิ

 

          นอกจากนี้ผู้นำของประเทศอื่นที่ไม่มีพระมหากษัตริย์ต่างร่วมแสดงความยินดี ยกย่องและแสดงท่าทียืนยันสถาปนาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศให้ยืนนาน อาทิ การส่งสาสน์ถวายพระพรชัยมงคลจากผู้นำประเทศจีน ฟิลิปปินส์ เม็กซิโก รวมถึงข้อมติร่วมของรัฐสภาสหรัฐอเมริกาที่ ๔๐๙ และหนังสือจากประธานาธิบดีประเทศสิงคโปร์ ที่ยืนยันที่จะสานสัมพันธ์ที่ดีกับไทยให้ยืนนาน

 

          การมารวมตัวกันของราชวงศ์ทั่วโลกนับว่าไม่ใช่เรื่องธรรมดา สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืน แต่ล้วนเป็นผลจากพระราชกรณียกิจที่ในหลวงได้ทรงตรากตรำทำงานมาตลอดการครองราชย์

 

 

 

 

 

ที่มา : สำนักข่าวเจ้าพระยา

 

 

Update : 02-12-52

 

อัพเดทเนื้อหาโดย : นพรัตน์  นริสรานนท์

Shares:
QR Code :
QR Code