พบ 6 เดือนมีผู้ป่วยอีสุกอีใสจำนวนมาก
นายแพทย์ ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่าจากรายงานของสำนักระบาดวิทยา ตั้งแต่เดือนมกราคม – มิถุนายน 2557 เพียง 6 เดือน พบผู้ป่วยโรคสุกใสทั่วประเทศ 63,510 ราย เฉลี่ยวันละประมาณ 350 ราย เสียชีวิต 1 ราย เพิ่มขึ้นจากปี 2556 ถึง 3 เท่าตัว
โดยตลอดปีที่ผ่านมาพบผู้ป่วย 49,398 ราย เฉลี่ยวันละ 135 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิต และปีนี้ผู้ป่วยส่วนใหญ่เกือบร้อยละ 50 อายุระหว่าง 7-24 ปี จึงได้สั่งให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ เฝ้าระวังโรคสุกใสอย่างใกล้ชิด และให้โรงพยาบาลทุกแห่งเพิ่มมาตรการการดูแลผู้ป่วย เพื่อป้องกันการเสียชีวิตโดยเฉพาะผู้ที่มีโรคเรื้อรังประจำตัว เนื่องจากมีภูมิต้านทานโรคต่ำกว่าคนอื่น หากติดเชื้อและป่วยจะมีอาการรุนแรงได้มาก
ด้าน นายแพทย์ โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า โรคสุกใส หรือ โรคอีสุกอีใส เกิดจากการติดเชื้อไวรัสวาริเซลลา (Varicella) สามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย ติดต่อกันได้ด้วยการไอ จาม การ หายใจรดกัน การสัมผัสหรือใช้ของร่วมกับผู้ป่วย เช่น ผ้าปูที่นอน ผ้าห่ม ที่นอน ผ้าเช็ดตัว แต่ป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีน
สำหรับอาการป่วยหลังได้รับเชื้อประมาณ 2-3 สัปดาห์ เด็กเล็กจะเริ่มมีไข้ต่ำๆ อ่อนเพลีย และเบื่ออาหาร ส่วนผู้ใหญ่ จะมีไข้สูง ปวดเมื่อยตามตัว อาการคล้ายไข้หวัด มีผื่นขึ้นพร้อมๆ กับวันที่เริ่มมีไข้หรือขึ้นหลังมีไข้ 1 วัน บางรายมีตุ่มขึ้นในช่องปาก ทำให้ปากและลิ้นเปื่อย ระยะแรกผื่นที่ขึ้นตามตัวจะแดงต่อมาจะกลายเป็นตุ่มใส และค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีขุ่นคล้ายหนองกระจายไปตามใบหน้า ลำตัว และช่องปาก หลังจากนั้นจะตกสะเก็ด
ในส่วนของการรักษานั้น ในรายที่เป็นไม่มาก สามารถดูแลตัวเองด้วยการกินยาพาราเซตามอล และทายาแก้คัน แต่ห้ามกินยาแอสไพรินเพื่อลดไข้เด็ดขาด เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอาการไรย์ ซินโดรม (Reye′s syndrome) หรือความผิดปกติของสมองและตับ ที่ทำให้มีอาการสมองอักเสบร่วมกับตัวเหลือง เกิดอันตรายร้ายแรงได้ ส่วนรายที่มีอาการรุนแรงไข้สูง หายใจหอบ ชัก ซึม ต้องรีบพบแพทย์ทันที
ที่มา: มติชนออนไลน์
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต