พบบุหรี่เถื่อนขึ้นชั้น “โอท็อป” ภาคใต้
ในการประชุมวิชาการ “บุหรี่กับสุขภาพ” ครั้งที่ 10 เมื่อวันที่ 26 ส.ค.ที่ผ่านมา จัดโดยศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมการยาสูบ มหาวิทยาลัยมหิดล (ศจย.) สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ กระทรวงสาธารณสุข เครือข่ายทั้งภาครัฐและเอกชน
โดย ผศ.มณฑา เก่งการพานิช คณะสาธารณสุขศาสตร์ ม.มหิดล เปิดเผยผลวิจัยล่าสุดเกี่ยวกับสถานการณ์การบริโภคบุหรี่หลีกเลี่ยงภาษี หรือ “บุหรี่เถื่อน” ในประเทศไทย ในหัวข้อ “การสูบบุหรี่หลีกเลี่ยงภาษีในภาคใต้ของไทย” โดยได้เลือกศึกษาในพื้นที่ 8 จังหวัด ของภาคใต้ ซึ่งเป็นภาคที่ผลสำรวจการบริโภคยาสูบทั่วประเทศในปี 2552 พบว่า มีอัตราผู้สูบบุหรี่ซิกาแรตสูงที่สุดในประเทศไทย คือ ร้อยละ 19 ของประชากรในพื้นที่ ขณะที่ภาพรวมของประเทศอยู่ที่ ร้อยละ 15
ผศ.มณฑา ได้นำเสนอข้อค้นพบสำคัญจากการวิจัยครั้งนี้ว่า จากการสำรวจข้อมูลจากผู้สูบบุหรี่ที่มีซองบุหรี่ติดตัวในพื้นที่ดังกล่าว จำนวน 2,048 ราย พบว่า ร้อยละ 16 ของบุหรี่ที่กลุ่มตัวอย่างสูบอยู่เป็นบุหรี่หลีกเลี่ยงภาษี โดยสังเกตจากการไม่ติดอากรแสตมป์ภาษีสรรสามิต และไม่มีภาพหรือข้อความคำเตือนบนซองบุหรี่ ทั้งนี้ จังหวัดที่พบการสูบบุหรี่หลีกเลี่ยงภาษีมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ปัตตานี พบ ร้อยละ 47 สตูล ร้อยละ 29 และ สงขลา ร้อยละ 23 โดยในกลุ่มผู้บริโภคหลักของผู้ที่สูบบุหรี่หลีกเลี่ยงภาษี ได้แก่ เป็นนักเรียนนักศึกษา ซึ่งพบ ร้อยละ 27 หรือ มากกว่า หนึ่งในสี่ ของผู้บริโภคบุหรี่ผิดกฎหมายทั้งหมด นอกจากนี้ ผู้หญิง และ ผู้มีฐานะยากจนยังตกเป็นกลุ่มเสี่ยงสำคัญ ประเด็นที่น่าสนใจอีกเรื่องหนึ่งคือ ร้อยละ 76 ของบุหรี่หลีกเลี่ยงภาษีมีที่มาจากร้านขายของชำ โดยจำหน่ายกันในราคาซองละ 10 กว่าบาทเท่านั้น
“สถานการณ์ที่พบจากการลงพื้นที่วิจัยในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมาในครั้งนี้ นับว่าน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจังหวัดที่มีพื้นที่ติดแนวชายแดนไทย-มาเลเซีย ซึ่งเป็นพื้นที่ขายสินค้าปลอดภาษี เช่น ปัตตานี สตูล ที่พบว่ามีการบริโภคบุหรี่หลีกเลี่ยงภาษีสูงถึง ร้อยละ 30-50 ทั้งนี้ ขณะที่ลงพื้นที่ศึกษามีคำถามที่ได้ยินบ่อยๆ ว่า ซื้อ “สินค้าโอท็อป” ของพื้นที่ คือ เหล้า บุหรี่ น้ำมัน หรือยัง สะท้อนให้เห็นว่า ขณะนี้สินค้าหนีภาษีได้กลายเป็นของขึ้นหน้าขึ้นตา และเป็นที่ถามหากันอย่างมากในพื้นที่นี้”
ผศ.มณฑา ชี้ว่า นโยบายที่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวที่ข้ามไปเที่ยวในเขตชายแดนสามารถนำบุหรี่เข้าประเทศไทยโดยไม่ต้องเสียภาษีได้ 20 ซอง หรือ 200 มวน เป็นช่องทางหนึ่งที่ทำให้บุหรี่หลีกเลี่ยงภาษีถูกนำเข้ามาจำหน่ายได้อย่างถูกกฎหมาย โดยมีบริษัทท่องเที่ยวฉวยโอกาสใช้สิทธินำเข้าบุหรี่ตามเงื่อนไขนี้แทนนักท่องเที่ยวในกรุ้ปทัวร์ที่ไม่ซื้อบุหรี่
นอกจากนี้ ผศ.มณฑา ระบุว่า ยังมีผลวิจัยอีกชิ้นหนึ่ง เรื่อง การสูบบุหรี่ของนักท่องเที่ยวต่างประเทศในประเทศไทย ที่ศึกษาในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน พบว่า ชาวต่างประเทศที่มาท่องเที่ยวในไทยที่สูบบุหรี่ ร้อยละ 41 นำบุหรี่จากนอกประเทศเข้ามาสูบในเมืองไทย
“จากสถานการณ์ที่พบในการวิจัยทั้ง 2 หัวข้อ ชี้ให้เห็นว่า นโยบายที่อนุญาตให้นำบุหรี่ผ่านพรมแดนเข้าประเทศไทยได้ 200 มวน เป็นเรื่องที่รัฐต้องเร่งทบทวนว่าควรมีอยู่หรือไม่ เพราะไม่เพียงแต่ทำให้ประเทศไทยสูญเสียภาษีที่พึงได้ไปไม่น้อยแล้ว ยังเพิ่มความเสี่ยงให้เด็ก เยาวชน ผู้หญิง และประชาชนที่มีฐานะยากจน ตกเป็นเหยื่อบุหรี่ เพราะบุหรี่หลบเลี่ยงภาษีเหล่านี้มีราคาถูกกว่าบุหรี่ในท้องตลาดทั่วไปหลายเท่า อีกทั้งดูเท่ห์เพราะเป็นของนอก” ผศ.มณฑา กล่าวในตอนท้าย
ที่มา: หนังสือพิมพ์สยามรัฐ