ผู้หญิงไทยกับเด็ก เหยื่อความรุนแรง
การใช้ความรุนแรงกับเด็กและสตรีในเมืองไทยมีสารพัดรูปแบบ ทั้งความรุนแรงในครอบครัว ตามสถานศึกษา ในที่ทำงาน หรือทุกหนทุกแห่ง โอกาสเปิดเมื่อไร ก็ตกเป็นเหยื่อได้เมื่อนั้น
ความรุนแรงต่อเด็กและผู้หญิง อาจเกิดขึ้นในลักษณะของการตบตี ทำร้ายร่างกาย ค้ามนุษย์ ข่มขืนกระทำชำเรา คุกคามทางเพศ หรือถึงขั้นบังคับให้ค้าประเวณีก็มี
ข้อมูลปราบปรามการกระทำความผิดต่อเด็กในระดับสากลจาก 26 ประเทศทั่วโลก ระบุไว้ว่า เมื่อปี 2549 ประเทศไทยถูกจัดอันดับให้เป็นประเทศที่มีการเผยแพร่ภาพลามกอนาจารของเด็ก และสตรี ผ่านทางเว็บไซต์ มากเป็น อันดับที่ 5 ของโลก ตำแหน่งอันน่ารังเกียจ และขายขี้หน้านี้ มี สหรัฐอเมริกา เป็นพี่ใหญ่นำโด่งอันดับ 1 ตามมาด้วย รัสเซีย อันดับ 2 ญี่ปุ่น อันดับ 3 สเปน อันดับ 4 เกาหลี อันดับ 6 และ อังกฤษ อันดับ 7 เป็นต้น
นอกจากการแพร่ภาพลามกอนาจาร อาจเป็นหนึ่งในช่องทางการยั่วยุทางเพศที่มีผลเชื่อมโยงไปถึงการใช้ความรุนแรงทางเพศต่อเด็กและสตรีแล้ว ยังมีการวิจัยว่า สาเหตุใหญ่ของการกระทำความรุนแรงต่อสตรีและเด็กในประเทศไทย ร้อยละ 28.79 เกิดขึ้นเพราะ การเมาสุรา และ ติดสารเสพติดอีกร้อยละ 24.04 เกิดจาก การนอกใจ หึงหวง จนนำไปสู่การทะเลาะวิวาท และใช้ความรุนแรงต่อกันในที่สุด
กว่า 10 ปีที่ผ่านมา สังคมไทยพยายามแก้ไขปัญหาการกระทำรุนแรงต่อเด็กและผู้หญิงอย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้น เช่น จัดทำนโยบายระดับชาติ ตรา พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ.2550 รวมทั้งกำหนดกลไกดูแลผู้หญิงและเด็กหญิงที่ได้รับผลกระทบจากการใช้ความรุนแรง ด้วยการจัดตั้ง “ศูนย์พึ่งได้” ในโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุขทุกระดับ ซึ่งทุกวันนี้มีศูนย์ดังกล่าวมากกว่า 800 แห่งทั่วประเทศ
นอกจากนี้ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ยังจัดให้มีศูนย์ช่วยเหลือสังคม และบริการสายด่วนแจ้งเหตุ 1300 แต่ดูเหมือนว่า ปัญหาการทำร้ายเด็กและสตรีในเมืองไทยก็ยังมีให้เห็นกันไม่ขาด โดยเฉพาะรูปแบบความรุนแรงที่ผู้หญิงและเด็กผู้หญิงในประเทศไทยต้องตกเป็นเหยื่อมากที่สุด 3 อันดับแรก คือ ความรุนแรงที่ได้รับจากคู่สมรส (59%) รองลงมา คือ ความรุนแรงแบบผสมผสานหลายรูปแบบ (15%) และอันดับสามเกิดจาก ความรุนแรงทางเพศ ล้วนๆ อีก 12%
ดร.สุชาดา ทวีสิทธิ์ นักวิจัยสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล บอกว่า จากสถิติข้อมูลที่เก็บได้จาก “ศูนย์พึ่งได้” ของกระทรวงสาธารณสุขทั่วประเทศ เมื่อ 2 ปีที่แล้ว มีผู้หญิง เด็กหญิงและเด็กชายถูกทำร้ายเฉลี่ย ชั่วโมงละ 4 ราย หรือ วันละ 87 ราย หรือพูดได้ว่า เฉลี่ยทุกๆ 15 นาที จะมีเหยื่อที่เป็นผู้หญิงหรือเด็ก ถูกทำร้าย 1 คน
“ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อความรุนแรง จากการ ถูกล่วงละเมิดทางเพศ มีมากที่สุด เหยื่อกลุ่มนี้มักมีอายุต่ำกว่า 18 ปี บางรายมีอายุต่ำกว่า 5 ขวบ ถัดมาเป็นเหยื่อที่ได้รับความรุนแรงในลักษณะของการ ถูกทำร้ายร่างกาย โดยเฉพาะผู้หญิงซึ่งมีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป มักจะถูกคู่หรือสามีของตนทำร้ายร่างกายมากที่สุด และรองลงมาในอันดับที่สาม คือ กลุ่มที่ ถูกกระทำรุนแรงทางเพศ”
ดร.สุชาดาบอกว่า เมื่อมองภาพความรุนแรงต่อผู้หญิงในสังคมไทย เปรียบเทียบกับในระดับสากล เมื่อปี 2556 UN Women หรือ องค์กรด้านสตรีของสหประชาชาติ เคยจัดอันดับประเทศไทยเอาไว้อยู่ใน ลำดับที่ 36 ของการใช้ความรุนแรงทางกายต่อผู้หญิง จากจำนวนประเทศที่ได้รับรายงานทั้งสิ้น 75 ประเทศ และยังจัดอันดับประเทศไทยไว้ใน ลำดับที่ 7 จากจำนวน 71 ประเทศ ที่มีการกระทำรุนแรงทางเพศต่อผู้หญิง
เธอบอกว่า เครือข่ายที่ทำงานด้านผู้หญิงในระดับนานาชาติ มองว่า การศึกษาวิจัยเรื่องการกระทำความรุนแรงต่อผู้หญิงและเด็กหญิงนั้น เป็นเรื่องที่สำคัญและจำเป็น เพราะสามารถนำไปต่อยอดเพื่อกำหนดเป็นนโยบายและมาตรการที่จะนำไปใช้ป้องกันปัญหา และแก้ไขผลกระทบที่เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ ดร.สุชาดาบอกว่า ช่วงปี 2524-2544 งานวิจัยด้านนี้ในเมืองไทย มีน้อยมาก หรือมีผู้สนใจที่จะศึกษาวิจัยค้นหาสาเหตุของการใช้ความรุนแรง และผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการใช้ความรุนแรงกับสตรีซึ่งตกเป็นเหยื่อในระหว่างที่ใช้ชีวิตคู่ไม่เกิน 25 เรื่องเท่านั้น
ทั้งที่ปัญหาความรุนแรงต่อสตรีและเด็ก โดยเฉพาะเด็กผู้หญิง เปรียบเหมือนขยะใต้พรมที่สั่งสมมานาน และมีกันทุกประเทศทุกชนชั้น ทุกมิติของสังคม ในระดับครอบครัว ชุมชน และแทบทุกหนทุกแห่ง
“หลังมีการประกาศใช้ พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ.2550 นับตั้งแต่ปี 2550-2557 มีงานวิจัยทางด้านนี้เพิ่มขึ้นมาอีก 122 เรื่อง แสดงให้เห็นว่า ทั้งงานวิจัยและประเด็นความรุนแรงต่อผู้หญิง เริ่มเป็นที่สนใจมากขึ้นในเมืองไทย”
อย่างไรก็ตาม โดยมากมุ่งเน้นแต่ทำงานวิจัยประเด็นนี้กันแต่ในกรุงเทพมหานครเป็นหลัก ในสัดส่วน 24.9% งานสำรวจวิจัยที่เก็บข้อมูลครอบคลุมทั่วทุกภาคในเมืองไทยมีอยู่แค่ 6.7%
ดร.สุชาดาบอกว่า แทบจะไม่เห็นมีใครสนใจศึกษาวิจัยเพื่อหาคำตอบ หรือมุ่งเน้นนำไปใช้แก้ปัญหาให้แก่ผู้หญิงเฉพาะกลุ่มต่างๆ เช่น ผู้หญิงที่ประกอบอาชีพบางอย่าง นับถือบางศาสนา นอกจากนี้ ยังขาดงานวิจัยที่ศึกษาในเชิงป้องกันไม่ให้มีการใช้ความรุนแรงต่อเด็กและสตรี และการแก้ปัญหาต่างๆ หลังจากที่เหยื่อที่เป็นเด็กและสตรีได้รับความรุนแรงแล้ว ผู้รู้บางคนได้แสดงความเห็นไว้ว่า การที่จะยุติเรื่องเหล่านี้ได้ นอกจาก ต้องมีการปรับปรุงกระบวนการยุติธรรม และ กระบวนการทางกฎหมาย เช่น เพิ่มโทษแก่ผู้กระทำความผิด เพื่อให้เกิดการเข็ดหลาบ หรือเกรงกลัวต่อโทษทัณฑ์ที่จะได้รับ
ในแง่ของเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งเกี่ยวข้องในกระบวนการยุติธรรมเอง ก็มีความสำคัญไม่น้อย เพื่อให้คนเหล่านั้นเกิดความตระหนัก และเข้าใจต่อปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างลึกซึ้งถ่องแท้ ควรจัดให้ทั้ง ตำรวจ แพทย์ พยาบาล นักสังคมสงเคราะห์ อัยการ และ ผู้พิพากษา เข้าคอร์สฝึกอบรม เพื่อให้เข้าใจถึงสภาพแวดล้อม ปัญหาการใช้ความรุนแรง และวิธีให้ความยุติธรรมที่เหมาะสม แก่เหยื่อที่ถูกกระทำด้วยความรุนแรงด้วย
สุดท้ายทุกฝ่ายควรหาทางส่งเสริมให้สถาบันครอบครัวมีความรัก ความอบอุ่น ให้ความรู้เกี่ยวกับการแก้ไขความขัดแย้งในครอบครัว โดยไม่ใช้ความรุนแรง ให้สมาชิกในครอบครัวดำรงชีวิตอยู่ในกรอบของหลักศาสนา เพราะสิ่งเหล่านี้จะเป็นภูมิคุ้มกันสกัดกั้นมิให้เด็กและสตรีในสังคมไทยต้องกลายเป็นเหยื่อของการใช้ความรุนแรงอย่างซ้ำแล้วซ้ำอีกไม่รู้จบ
ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต