‘ผู้บริโภคควรใส่ใจ อะไรอยู่ในผัก ผลไม้’

          ‘ผักครึ่งหนึ่ง อย่างอื่นครึ่งหนึ่ง’ หลายคนคงเคยได้ยินข้อความรณรงค์ให้คนไทยหันมากิน ผัก ผลไม้ควบคู่กับอาหารชนิดอื่นๆ กินให้ครบทุกมื้อ และให้ได้อย่างน้อยวันละ 400 กรัม แต่ปัจจุบันกลับพบว่า ผักและผลไม้ที่มีคุณค่าต่อร่างกาย กลับมีสารเคมีตกค้างเกินปริมาณที่กำหนดไว้ …


/data/content/25558/cms/e_bcfhmtxy1467.jpg


หากเป็นอย่างนี้แล้ว ผู้บริโภคควรทำอย่างไร?


          ปรกชล อู๋ทรัพย์ ผู้ประสานงาน เครือข่ายเตือนภัยสารเคมีกำจัดศัตรูพืช (Thai-PAN : Thailand Pesticide Alert Network) ให้ข้อมูลว่า จากการสุ่มตรวจผัก ผลไม้ 10 ชนิด คือคะน้า ถั่วฝักยาว พริกจินดา ผักชี กะเพรา ส้มไทย ส้มจีน แอปเปิล ฝรั่ง แตงโม และสตรอเบอร์รี่ ตรวจพบสารเคมี 4 กลุ่ม ตกค้างในผักผลไม้ 10 ชนิด คือมี กลุ่มคาร์บาเมท ซึ่งมีสารอันตรายร้ายแรงอย่างคาร์โบฟูแรน กลุ่มออร์กาโนฟอสเฟต ออกาโนคลอรีน ไพรีทรอยด์ ซึ่งทั้งหมดเป็นสารเคมีกำจัดแมลง ส่วนอีกกลุ่มเป็นสารป้องกันเชื้อราและโรคพืช คือ คาร์เบนดาซิม  ซึ่งเพิ่มการตรวจเฉพาะใน ส้ม แอปเปิล และสตรอเบอร์รี่ 


         “ก่อนการตรวจสอบคิดว่า สารคาร์เบนดาซิม อาจมีตกค้างบ้าง แต่อาจเพราะไม่เคยมีการตรวจสอบมาก่อน เมื่อได้ตรวจจริงๆ จึงพบว่าการตกค้างเยอะกว่าค่า MRLs ค่อนข้างมาก ถ้าหากมีการสะสมในระยะยาวก็เป็นอันตรายหมด เพียงแต่เป้าหมายในการก่อโรคเรื้อรังแตกต่างกัน” ปรกชล อธิบายเพิ่มเติม


/data/content/25558/cms/e_abdgkqtwyz27.jpg


ค่า MRLs คืออะไร?


          MRLs หรือ Maximum Residue Limits  คือ ระดับปริมาณสารพิษตกค้างสูงสุดในอาหาร ที่ยอมรับให้มีได้ที่พบในอาหารมนุษย์และอาหารสัตว์ จะแสดง ค่า MRLs เป็นหน่วย มิลลิกรัม (มก.) ของสารพิษตกค้างต่อกิโลกรัม (กก.) ของผลิตภัณฑ์อาหาร โดยในประเทศไทย สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) จะเป็นหน่วยงานหลักในการกำหนดการจัดตั้งค่ามาตรฐานสารพิษตกค้างในพืชผลเกษตร


‘ผัก ผลไม้ในห้าง สารตกค้างมากกว่า ตลาดสด’


          ปรกชล บอกเล่าถึงการสุ่มตรวจผักผลไม้ว่า การสุ่มตรวจผัก ผลไม้ทั้ง 10 ชนิด จะแบ่งตรวจในห้างสรรพสินค้า ซึ่งมีทั้งผักที่รับรองมาตรฐานและไม่ได้รับรองมาตรฐาน Q หรือ เครื่องหมายรับรองมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหาร ส่วนตลาดจะมีทั้งตลาดค้าส่งและตลาดสดทั่วไป โดยจะสุ่มตรวจใน 5 จังหวัด คือ กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ซึ่งตรวจทั้งในห้างและตลาดสด ส่วนขอนแก่น ยโสธร และสงขลา จะตรวจในตลาดสดอย่างเดียว และผลการสุ่มตรวจส่วนใหญ่พบว่า ในห้างมีสารเคมีตกค้างเกินค่ามาตรฐานมากกว่าตลาดสด สำหรับผัก ผลไม้ที่พบว่ามีค่า MRLs ตกค้างเกินมาตรฐานสูงสุด คือ ส้มสายน้ำผึ้ง พบสารเคมีตกค้าง 100%  ฝรั่ง 69.2% แอปเปิล 58 % คะน้า 54% สตรอเบอร์รี่ ส้มจีน กะเพรา ชนิดละ 50% ถั่วฝักยาว 42.8% ผักชี 36 % แตงโม15% และพริกจินดา 8.3%


          เนื่องจากผัก ผลไม้ทั้ง 10 ชนิด ที่สุ่มตรวจเป็นที่นิยมของผู้บริโภค ทำให้เกิดความต้องการบริโภคสูงขึ้น กระบวนการผลิตจึงต้องรวบรัดเพื่อให้เพียงพอต่อการบริโภคนั่นเอง และจากการวิเคราะห์ถึงสาเหตุที่พบว่า ผักในห้างมีสารตกค้างเยอะกว่าตลาดสด เนื่องจากเมื่อส่งผัก ผลไม้ขึ้นห้างสรรพสินค้า ความกังวลเรื่องการตลาดจะไม่มี เพราะสามารถขายได้ราคาสูง และผักที่อยู่ในห้างต้องมีลักษณะสวย ไม่มีรอยกัดกินของแมลง ทำให้การกำจัดแมลงทำได้อย่างเต็มที่


        ปรกชล บอกอีกว่า หลักจากที่มีการตรวจสอบ ทางเครือข่ายฯ ได้พูดคุยกับห้างสรรพสินค้า ตลาดสด ผู้ค้าปลีก และหน่วยงานภาครัฐ เกี่ยวกับการแก้ปัญหา เนื่องจากการตกค้างของสารเคมีในผัก ผลไม้มีค่าเฉลี่ย เกินมาตรฐานมากถึง 46.6% จึงต้องได้รับการควบคุมโดยด่วน ส่วนด้านผู้ประกอบการรับทราบปัญหาและพยายามกำชับให้ตัวแทนรับส่งสินค้า หรือทางพ่อค้าคนกลางบอกต่อไปยังด้านเกษตรกร ให้ลดปริมาณการใช้สารเคมี และสร้างความร่วมมือผลักดันการกำหนดค่า MRLs ที่คุ้มครองผู้บริโภคมากขึ้น


‘ผู้บริโภคต้องเปลี่ยนพฤติกรรมและตื่นตัว’


          ‘จริงๆ แล้วผู้บริโภคเป็นส่วนสำคัญในการกำหนดสิทธิ์ หากเราสนใจแหล่งที่มาของผักและผลไม้ การให้ความสำคัญเรื่องสารเคมีตกค้าง หรือการส่งเสริมให้เกิดการผลิตผัก ผลไม้แบบปลอดภัยมากขึ้น โดยการเลือกซื้อผัก ผลไม้ที่ปลอดสารเคมี การเลือกบริโภคผักจากการเกษตรในรูปแบบอื่นๆ อย่างเกษตรอินทรีย์หรือกินผัก ผลไม้ที่ตรงตามฤดูกาล ก็เป็นการลดการผลิตนอกฤดูกาล ลดการควบคุมโรคแมลงและการใช้สารเคมีต่างๆ’ ปรกชล เสนอแนะ


/data/content/25558/cms/e_eghklpsxy159.jpg


          นอกจากนี้ ยังทิ้งท้ายไว้ว่า การทำความสะอาด ผักผลไม้ โดยการล้างด้วยน้ำสะอาด สามารถลดได้บางส่วนสำหรับสารเคมีที่ไม่ดูดซึม แต่สารเคมีที่มีการดูดซึมในเนื้อเยื่อ ก็ไม่สามารถล้างออกได้ เราจึงต้องเปลี่ยนแปลงที่ขั้นตอนการผลิต เกษตรกรต้องไม่มีการใช้สารเคมีประเภทดูดซึม หรือใช้แล้วควรเว้นระยะเก็บเกี่ยวเพื่อให้สารเคมีสลายไป ประเทศไทยมีการใช้สารเคมี 400 กว่าชนิด สารตกค้างที่มีสารเคมีดูดซึมในเนื้อเยื่อปนอยู่ถึง 51 %


          เราเองในฐานะผู้บริโภคควรแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ คือ ผู้บริโภคสามารถสนับสนุนเกษตรทางเลือก การเกษตรปลอดสารพิษ รวมทั้งการรู้จักตั้งคำถามเกี่ยวกับความปลอดภัยของผู้บริโภค ก็จะช่วยให้สังคมตื่นตัว หันมาสนใจ และทำให้หน่วยงานภาครัฐ ผู้ที่เกี่ยวข้องตรวจสอบ พร้อมกับร่วมกันผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น


 


 


          เรื่องโดย พิมพ์ชนก ศรเพชร Team Content www.thaihealth.or.th

Shares:
QR Code :
QR Code