`ผู้นำท้องถิ่น` และ `สนามเด็กเล่น`
ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
ภาพประกอบจากแฟ้มภาพ
"หากผู้นำท้องถิ่นมีคุณธรรม จริยธรรม เห็นแก่ส่วนรวม สุจริต จัดการได้ ฉลาด สื่อสารเก่ง เป็นที่ยอมรับ จะกลายเป็นฐานผู้นำคุณภาพสูงจำนวนมหาศาล เป็นทิศทางที่ประเทศไทยควรให้ความสำคัญ
ตัวอย่างผู้นำในต่างประเทศที่เก่ง ๆ มาจากผู้นำท้องถิ่นมาก่อน เช่น นายบิล คลินตัน อดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน" ศ.นพ.ประเวศ วะสี ปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ "ท้องถิ่นเข้มแข็ง ประเทศเจริญ ทุกตำบลปลอดภัย ประเทศไทยปลอดภัย" ในงาน "เวทีสุดยอดผู้นำชุมชนท้องถิ่น (Community Key Actors Summit: Reducing Health Risk Factors, Enhancing Health Reinforcing Factors)) วาระ : ลดปัจจัยเสี่ยงสุขภาพ เพิ่มปัจจัยเสริมสุขภาวะ ที่เมืองทองธานี เมื่อเร็ว ๆ นี้
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) โดยสำนักสนับสนุนสุขภาวะชุมชน (สำนัก 3) ร่วมกับศูนย์วิจัยและพัฒนาระบบสุขภาพชุมชน (ศวช.) คณะพยาบาลศาสตร์ ม.ขอนแก่น จัดงานนี้ขึ้น" เพื่อขับเคลื่อนผลักดันนโยบายสาธารณะระดับท้องถิ่นใน 7 ประเด็น ได้แก่ 1.การควบคุมยาสูบ 2.การควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพื่อลดอุบัติเหตุ 3.การพัฒนาระบบอาหารชุมชน 4.การพัฒนาระบบการดูแลเด็กปฐมวัยโดยชุมชนท้องถิ่น 5.การพัฒนาระบบการดูแลผู้สูงอายุโดยชุมชนท้องถิ่น 6.การจัดการระบบนิเวศชุมชนและลดโลกร้อนโดยชุมชนท้องถิ่น และ 7.การพัฒนาระบบการดูแลกลุ่มเปราะบางโดยชุมชนท้องถิ่น
พร้อมกันนี้ได้ประกาศสัตยาบัน "ผู้นำชุมชนท้องถิ่น" นำโดย นายสมพร ใช้บางยาง ประธานเครือข่ายร่วมสร้างชุมชนท้องถิ่นน่าอยู่ และมีพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือเครือข่ายร่วมสร้างชุมชนท้องถิ่นน่าอยู่ ระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 145 แห่ง กับศูนย์จัดการเครือข่ายสุขภาวะชุมชน (ศจค.) ศูนย์ประสานงานเฉพาะประเด็น (ศปง.) และสถาบันวิชาการคู่ความร่วมมือ
"แนวคิดในการพัฒนาสุขภาวะเครือข่ายร่วมสร้างชุมชนท้องถิ่นน่าอยู่ มุ่งให้ชุมชนท้องถิ่นเกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกัน ให้ชาวบ้านเกิดการเรียนรู้กันเองในเชิงลึกมากกว่าการพาไปศึกษาดูงาน ซึ่งไม่เกิดผลเท่าไหร่ และท้องถิ่นที่มีความพร้อมจะต้องยกระดับสามารถเป็นแหล่งเรียนรู้และถ่ายทอดให้กับพื้นที่อื่น ๆ ได้" นายสมพร บอกถึงเป้าหมายสำคัญ
เวทีสุดยอดผู้นำชุมชนท้องถิ่นในวันนั้นได้จำลองสนามเด็กเล่นสร้างปัญญา กลไกหนึ่งที่จะช่วยพัฒนาการของเด็กในชุมชน โดย อบต.และชุมชนสามารถสร้างเองได้โดยใช้งบประมาณจากท้องถิ่นจำนวนไม่มากและชุมชนมาร่วมกันสร้าง ซึ่ง กรมการปกครองท้องถิ่น จับมือกับสสส. และมูลนิธิสนามเด็กเล่นสร้างปัญญา ดำเนินโครงการ "ส่งเสริมการเรียนรู้เด็กปฐมวัย ท้องถิ่นไทย ผ่านการเล่น" ตามแนวทางเล่นตามรอยพระยุคลบาท
อ.ดิสสกร กุนธร ประธานมูลนิธิสนามเด็กเล่นสร้างปัญญาในฐานะสถาปนิก เล่าว่า สนามเด็กเล่นสร้างปัญญา ได้แนวคิดมาจากในหลวงรัชกาลที่ 9 สมเด็จย่าทรงทำของเล่น ง่าย ๆ เช่น เล่นกองทราย ปีนต้นไม้ หล่อหลอมให้ในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ สนามเด็กเล่นควรมีพื้นที่อย่างน้อย 100 ตารางวา มีต้นไม้ใหญ่เพื่อเป็นร่มเงา มีสระน้ำ มีทรายละเอียดเพื่อให้เด็กปั้นได้ ระหว่างที่เขาเล่นสมองจะถูกพัฒนา ซึ่งน้ำเปรียบเหมือนสปาเด็กได้เล่นจะสดชื่น ใต้ต้นไม้มีลมพัดผ่านเด็กจะรู้สึกสงบ ไม่เครียด
เช่นเดียวกับบ่อน้ำต้องมีอะไรที่ลาดเอียง จะช่วยเรื่องการทรงตัว ซึ่งตรงต้นคอมีสมองน้อยที่เรียกว่า "เซลูลัม" เป็นสารที่ช่วยควบคุมการทรงตัว ในวัยเด็กถ้าได้เดิน เล่นในพื้นที่ลาดเอียงนับพันชั่วโมงโตขึ้นขับรถจะไม่หลงทาง และการปีนป่ายทำให้กระดูกมีความแข็งแรง
…การเล่นมีประโยชน์มาก เพราะนำไปสู่พัฒนาการของสมองอย่างเต็มที่ และยังทำให้เขาได้ล้างสารพิษคอร์ติซอล ในทางกลับกันถ้าเด็กไม่ได้เล่นจะเครียด…
ประธานมูลนิธิสนามเด็กเล่นสร้างปัญญา กล่าวว่า เมื่อเราใช้คำว่า "อย่า" สมองเด็กจะถูกล็อกทันที เด็กจะคิดนอกกรอบไม่ได้ ไม่มีความคิดสร้างสรรค์ เช่นเดียวกันของเล่นต้องเป็นของเล่นปลายเปิด ซึ่งมีอยู่ในธรรมชาติ ต้นไม้ ดิน ทราย ทางการแพทย์สมองที่ถูกสร้างความเครียดตั้งแต่เด็ก จะสร้างกรดชนิดหนึ่งที่อยู่ในกระแสเลือด เรียกว่า คอร์ติซอล กรดตัวนี้ต้องปลดปล่อยด้วยการเล่น ถ้าไม่ได้ปล่อยออก เด็กจะไปรังแกเพื่อน และจะโตเป็นผู้ใหญ่ที่โกงได้
"สนามเด็กเล่นสร้างปัญญาจะช่วยแก้ปัญหาเด็กแว้น เด็กติดเกม และป้องกันโรคเรื้อรังได้เมื่อเติบใหญ่" น.ส.ดวงพร เฮงบุณยพันธ์ ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะชุมชน (สำนัก 3) สสส. บอกเล่า ซึ่งการดูแลเด็กปฐมวัยโดยชุมชนท้องถิ่น คือ 1 ใน 7 ข้อ ของนโยบายสาธารณะระดับท้องถิ่น