ปี 54 คนไทย รับควันบุหรี่มือสองในที่สาธารณะเพิ่มขึ้น
WHO สุ่มสำรวจปี 54 คนไทย รับควันบุหรี่มือสองในที่ทำงานที่สาธารณะเพิ่มขึ้น เหตุกฎหมายหย่อน สสส. เร่งขยายสถานประกอบการส่งเสริมสุขภาวะ ลด ละ เลิก บุหรี่ เหล้า
เมื่อวันที่ 20 มิ.ย. ที่กรมประชาสัมพันธ์ ในการแถลงข่าวถอดรหัส พัฒนาสถานประกอบการสร้างเสริมสุขภาพ จัดโดยสมาคมพัฒนาคุณภาพสิ่งแวดล้อม ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
โดยดร.จิรพล สินธุนาวา อุปนายกสมาคมพัฒนาคุณภาพสิ่งแวดล้อม ภายใต้การสนับสนุนของ สสส. กล่าวว่า จากการที่สมาคมดำเนินโครงการพัฒนาสถานประกอบการสร้างเสริมสุขภาพ ตั้งแต่ปี 2551 ด้วยรณรงค์ส่งเสริมให้เกิดการควบคุมการสูบบุหรี่ และปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพอื่นๆ เช่น สุรา การพนัน การลดอุบัติเหตุ ผ่านการจัดกิจกรรมการรรณรงค์ต่างๆ ในสถานประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ ทั้งใน กทม.และต่างจังหวัด ทั้งสิ้น 205 แห่ง ครอบคลุมแรงงานทั้งสิ้น 137,341 คน ทำให้มีจำนวนผู้ที่เลิกบุหรี่ได้สำเร็จ 905 คน เลิกดื่มเหล้า 812 คน เลิกเล่นการพนัน 42 คน ลดจำนวนครั้งในการเกิดอุบัติเหตุจาก 516 ครั้งในปี 2553 เหลือ 194 ครั้ง ในปี 2554 ทั้งนี้ ได้มีการถอดบทเรียนจัดทำเป็นคู่มือ 3 เล่ม ได้แก่ คู่มือสำหรับผู้บริหาร คู่มือสำหรับคณะทำงาน และคู่มือการจัดกิจกรรม เพื่อให้สถานประกอบการที่สนใจ นำไปปรับใช้เพื่อให้กลายเป็นสถานประกอบการส่งเสริมสุขภาพได้ทันที ติดต่อขอรับหนังสือ โทร.0-2441 9232, 0-2889-3390นพ.ชัย กฤติยาภิชาติกุล ผู้แทนองค์การอนามัยโลก กล่าวว่า ในแต่ละปีทั่วโลก มีผู้เสียชีวิตจากโรคเรื้อรัง 36 ล้านคน โดยตายจากสาเหตุของบุหรี่ ร้อยละ 10 หรือ 6 ล้านคน ในจำนวนนี้ 6 แสนคน เป็นคนที่ไม่สูบบุหรี่แต่ได้รับควันมือสอง จนทำให้เกิดโรค เช่น มะเร็ง ถุงลมโป่งพอง ประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในประเทศที่ลงนามในอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมการบริโภคยาสูบ ซึ่ง WHO มีมติให้ประเทศสมาชิก ดำเนินมาตรการจริงจังในการควบคุมโรคไม่ติดต่อ โดยที่บุหรี่เป็นปัจจัยเสี่ยงหลัก แต่จากการสำรวจของ WHO ร่วมกับ รัฐบาลไทย และศูนย์ควบคุมโรคสหรัฐอเมริกา (CDC) สำรวจการใช้และได้รับควันบุหรี่ ในช่วงเดือน ก.ย.-ธ.ค. 2554 พบว่า คนไทยมีอัตราการสูบบุหรี่เพิ่มขึ้นจาก 12.5 ล้านคน เป็น 13 ล้านคน และพบว่า การได้รับควันบุหรี่มือสองจากสถานประกอบการเพิ่มขึ้น จากร้อยละ 27.2 .ในปี 2552 เป็น ร้อยละ 30.5 ในปี 2554 โดยพบว่าอัตราการได้รับควันบุหรี่ในที่สาธารณะก็เพิ่มขึ้นเช่นกันเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 40
“WHO มีข้อเสนอแนะ เพื่อนำไปสู่การลดการบริโภคยาสูบ คือ 1. หน่วยงานภาครัฐที่รับผิดชอบ ต้องดำเนินมาตรการอย่างเข้มแข็ง และนโยบายของรัฐบาลต้องสนับสนุนการลดจำนวนการสูบบุหรี่ 2 การบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งประเทศไทยถือว่ามีกฎหมายที่ดีอยู่แล้ว แต่จำเป็นต้องเพิ่มการบังคับใช้กฎหมายให้เข้มข้นขึ้น เช่น การปรับผู้สูบบุหรี่ในที่สาธารณะ 2,000 บาท ที่ปัจจุบันยังไม่มีการบังคับใช้มากนัก 3 ควบคุมธุรกิจยาสูบที่ปัจจุบันมุ่งเน้นทำการตลาดเชิงรุกในกลุ่มเยาวชน ทำให้มีนักสูบหน้าใหม่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการทำการตลาดกิจกรรมเพื่อสังคม” นพ.ชัยกล่าว
ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ เลขาธิการมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่กล่าวว่า อัตราการสูบบุหรี่ของคนไทยที่เพิ่มขึ้น มีสาเหตุหลักจากการที่บริษัทบุหรี่ มุ่งทำการตลาดและกิจกรรมเพื่อสังคม กับกลุ่มเยาวชน ทำให้เกิดนักสูบหน้าใหม่เพิ่มขึ้น ประกอบกับ ประเทศไทยไม่ได้ขึ้นภาษีบุหรี่มานานถึง3 ปี ส่งผลให้ราคาบุหรี่ถูกลง และกระบวนการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับบุหรี่และยาสูบไม่เข้มแข็งมากพอ ทั้งนี้ คนไทยเสียชีวิตจากสาเหตุของการสูบบุหรี่ 48,000 คนต่อปี ในจำนวนนี้ 14,000 คนเสียชีวิตก่อนอายุ 60 ปี โดยเฉลี่ยผู้สูบบุหรี่จะอายุสั้นลง 12 ปี และป่วยจนทำงานไม่ได้ประมาณ 2 ปี ทำให้สูญเสียไป 14 ปี ซึ่งส่วนใหญ่ผู้สูบบุหรี่จะอยู่ในวัยทำงาน เป็นหัวหน้าครอบครัวทำให้เกิดผลกระทบอย่างมาก โดยพบว่าหากรณรงค์การส่งเสริมสุขภาวะในสถานประกอบการ จะทำให้ลดการสูญเสียรายได้ โดยพบว่า กลุ่มคนงาน ส่วนใหญ่มักใช้เงินในการสูบบุหรี่ ดื่มเหล้า เดือนละ 586 บาท ซึ่งคิดเป็น 1 ใน 3 ของรายได้
ที่มา :สำนักข่าว สสส.