ปั้นผู้นำชุมชนพันธุ์ใหม่ นำภูมิปัญญาพัฒนาท้องถิ่น
ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
แฟ้มภาพ
การพัฒนาชุมชนท้องถิ่นให้ประสบความสำเร็จ ต้องอาศัยผู้นำที่มีความรู้ความสามารถ มีความเข้าใจปัญหาในพื้นที่ ขณะเดียวกันต้องรู้จักนำองค์ความรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่น มาปรับใช้เพื่อพัฒนาชุมชนท้องถิ่นให้น่าอยู่
แม้จะเดินทางมาแล้วนับทศวรรษ สำหรับ "เครือข่ายร่วมสร้าง ชุมชนท้องถิ่นน่าอยู่" ที่เกิดจากการผลักดันของสำนักสนับสนุนสุขภาวะชุมชน (สำนัก ๓) หรือแผนสุขภาวะชุมชน สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริม สุขภาพ (สสส.) กับปฏิบัติการเสริมสร้างศักยภาพให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยเริ่มจากการพัฒนาระดับย่อยที่สุด คือ "ชุมชน" ก่อนขยายผลสู่ตำบล และระดับอำเภอ จนกลายเป็น "เครือข่าย ร่วมสร้างชุมชนท้องถิ่นน่าอยู่" ที่กระจายตัวอยู่ทุกภูมิภาคของประเทศ
หากกล่าวถึงผลสำเร็จของงานสุขภาวะชุมชน ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา หนึ่งในคนทำงานสุขภาวะชุมชนอย่าง ดวงพร เฮงบุณยพันธ์ ผู้ช่วย ผู้จัดการอาวุโสกองทุนสนับสนุน การสร้างเสริมสุขภาพ และรักษาการผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนสุขภาวะชุมชน สสส. เปิดใจว่า ความสำเร็จจากการ "ขับ" และ "เคลื่อน" งานระดับ "ลงลึก" ถึงชุมชนของ สสส. ภายใต้เครือข่ายฯ กว่า 10 ปีนี้ สิ่งที่ประสบความสำเร็จนั้น สรุปเป็น 4 เรื่องสำคัญด้วยกัน คือ 1. ทำให้ชุมชนท้องถิ่นรู้สึกต้องรับผิดชอบต่อปัจจัยเสี่ยง และกลายเป็นวาระสาธารณะของชุมชน 2. ทำให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รับผิดชอบต่อคุณภาพชีวิตประชากรในพื้นที่เข้าใจมากขึ้นว่า ท้องถิ่นมีเรื่องที่ยังไม่ได้ทำ และงานที่ สสส.ทำในพื้นที่สามารถขยายผลอยู่ในภารกิจของอปท. มากขึ้น 3. เปลี่ยนวิธีคิดวิธีทำงานของตัวละครหลักๆ ในชุมชน โดยเฉพาะท้องถิ่น มักจะเข้าใจว่าคุณภาพชีวิต คือเรื่องทั่วไป แต่ในความเป็นจริงคุณภาพชีวิตเป็นเรื่องสุขภาวะ และ 4. ชุมชนรู้จัก สสส.มากขึ้น
หากวัดในเชิงปริมาณ สสส. มี อปท. 1 ใน 3 ของตำบลทั้งประเทศ หรือมีสมาชิกเครือข่ายร่วมสร้างชุมชนท้องถิ่นน่าอยู่ ถึง 300 กว่า อปท. ในจำนวนนี้มี 600 ตำบล ที่มีความเข้มแข็งมาก และ 1,000 ตำบล อยู่มาตรฐานทั่วไป ที่เหลือต้องมีการกระตุ้นมาก
ความสำเร็จดังกล่าวแม้จะสะท้อน ให้เห็นว่ามิชชั่นที่เป็นไปได้ครั้งนี้ จะประสบความสำเร็จ สามารถ "จุดประกาย" ให้กลุ่มคนที่สังคมเคยมองว่าเป็นระดับ "ฐานราก" ที่ต้องพึ่งพิงแต่กลไกการ ช่วยเหลือภาครัฐ ให้กลายเป็นชุมชน ที่ลุกขึ้นมายืนหยัดด้วยลำแข้งตัวเองได้ แต่ภารกิจปลุกปั้นให้ "ชุมชนจัดการตนเอง" นี้ ก็ยังมีงานที่ "หยุดไม่ได้" และยังคงต้องเดินหน้าสานต่ออีกไม่น้อย
ซึ่งนอกเหนือจากจำนวนสมาชิก เครือข่ายร่วมสร้างชุมชนท้องถิ่นน่าอยู่ถึง 3,000 แห่งทั่วประเทศเหล่านี้ อีกหนึ่งผลผลิตที่เกิดขึ้นจากการทำงาน สสส. ยังมีบทบาท คือการเป็นอีกกลไกที่หนุนเสริม การขับเคลื่อนการพัฒนาศักยภาพผู้นำ ท้องถิ่นที่ "คิดใหม่ทำใหม่" ที่มีทักษะ ความเข้มแข็ง สามารถนำพาชุมชน ท้องถิ่นให้รอดพ้นจากวิกฤติ เป็นผู้นำสายพันธุ์ใหม่และกระจายอยู่ทั่วประเทศไทย
เมื่อ "ผู้นำ" เป็นองค์ประกอบสำคัญในการสร้างชุมชนท้องถิ่นสายพันธุ์ใหม่ ดังนั้น เพื่อร่วมกันค้นหา DNA ของ "ผู้นำ" ที่จะขับเคลื่อนและ สร้างความเปลี่ยนแปลงให้แก่ชุมชน ทั้ง สสส.และเครือข่ายชุมชนท้องถิ่นน่าอยู่ จึงมาร่วมกันถอดบทเรียนจากประสบการณ์ 10 ปี ร่วมกันสกัดคุณสมบัติของ "ผู้นำ" สายพันธุ์ใหม่ ที่มีคุณลักษณะ อันพึงประสงค์ว่ามีหน้าตาเป็นอย่างไร ในการเสวนาออนไลน์ ชุมชนท้องถิ่น เข้มแข็ง เรื่อง "นักการเมืองวิถีใหม่"
เริ่มจากมุมมองของดวงพร เผยว่า ในช่วง 4 ปีต่อจากนี้เศรษฐกิจชุมชนเป็นเรื่องสำคัญมาก สามารถเป็นฐานเศรษฐกิจทั้งภายในและส่งต่อไปภายนอกได้ ดังนั้นผู้นำ หรือนักการเมืองยุคใหม่ต้องมีความแกร่งในการจัดการเศรษฐกิจชุมชนมาก ทำอย่างไรที่จะนำทุนและศักยภาพชุมชนมาสร้างเศรษฐกิจได้ ดังนั้นผู้นำที่ไม่มีวิสัยทัศน์ก็จะทำงานยากกว่า
"สิ่งแรกที่คนในชุมชนควรใช้เป็นเกณฑ์วัดในการเลือกผู้นำของตนเอง คือการที่ผู้นำคนนั้นต้องเป็นคนใฝ่หาความรู้ ต่อสู้กับความเปลี่ยนแปลงได้ สองมีทักษะในการบริหารเครือข่ายเป็น ดึงคนมาช่วยทำงานได้ และสาม ต้องลดปัญหาหรือความสงสัยของประชาชนเรื่องความไม่โปร่งใสได้ ด้วยการรู้จักนำข้อมูลมาสื่อสารกับประชาชน ซึ่งในเครือข่ายฯพยายามสร้างเรื่องการเรียนรู้นี้ให้กับชุมชนต่อเนื่อง
"จากประสบการณ์ทำงานของเรา มีสิ่งหนึ่งที่ทางเครือข่ายฯ ได้เรียนรู้ว่า ผู้นำคนใดที่ไม่รู้จักชุมชนตัวเองจะทำงานเหนื่อยหนักกว่าผู้นำที่รู้จักชุมชนตัวเอง เพราะฉะนั้นไม่ใช่แค่การสร้างการมีส่วนร่วมของคนในชุมชน แต่ผู้นำควรรับฟัง และสร้างความรู้สึกให้ทุกคนในชุมชนเข้าใจว่า สมาชิกในชุมชนทุกคนมีหน้าที่ในการที่จะช่วยพัฒนาชุมชน ซึ่ง 7-8 แปดปีที่ผ่านมาเราเห็นความเปลี่ยนแปลงของผู้นำชุมชนชัดเจนว่า หากผู้นำเป็นคนที่ใฝ่รู้ จะสามารถทำงานเครือข่าย และมีทักษะการดึงคน ที่มีความรู้ด้านต่างๆ มารับผิดชอบชีวิต ซึ่งกันและกันได้"
บัญชร แก้วส่อง กรรมการบริหารแผนคณะที่ 3 สสส. เสริมว่า เหตุผลที่ผู้นำชุมชนควรต้องเป็นคน "คิดใหม่ทำใหม่" นั้น เพราะในโลกยุคนี้กำลังเปลี่ยนแปลง ส่งผลกระทบต่อชีวิตทุกคน ซึ่งแน่นอนว่า ย่อมกระทบไปจนถึงระดับชุมชน ดังนั้น เพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลง คนในชุมชนต้องปรับวิธีคิดของชุมชน ตลอดจนความเป็นอยู่
"ปัจจุบันเป็นยุคที่ globalized กับ localized ต้องเป็นเรื่องโยงใยถึงกัน ยกตัวอย่างปัญหาเรื่องของโควิด-19 เป็นปัญหา Globalized ที่เข้ามากระทบผู้นำและชุมชนต้องจัดการแบบ Localized คือนำองค์ความรู้ชุมชนมาแก้ปัญหาได้ นำของดีในพื้นที่ตัวเองมาร่วมจัดการปัญหาชุมชน
ผู้นำท้องถิ่นต้องรู้จัก รู้เรื่องท้องถิ่นตัวเอง และเท่าทันเรื่องโลกภายนอก เพื่อนำมาเป็นข้อมูลในการแก้ปัญหาท้องถิ่นตัวเอง ซึ่งจะเห็นว่า สสส. พยายามพัฒนานำชุมชนท้องถิ่นที่เป็นผู้นำยุคใหม่ ซึ่งเป็นผู้นำประชาธิปไตยแบบฐานรากแท้จริง ที่เน้นการปรึกษาหารือกัน สร้างการมีส่วนรวมไม่ใช่ผู้นำระบบสั่งการ ซึ่งจะเป็นแนวทางใหม่ การทำงานของผู้นำในท้องถิ่นต่อไป" บัญชร กล่าว
ขณะที่สมพร ใช้บางยาง ประธานเครือข่ายร่วมสร้างชุมชนท้องถิ่นน่าอยู่ เล่าถึงกระบวนการที่เครือข่ายชุมชนท้องถิ่นน่าอยู่ พยายามปรับเปลี่ยนผู้นำ "ผู้นำยุคใหม่ที่ต้องเปลี่ยนความคิดแบบเดิมในเรื่องอำนาจ มาสู่การใช้กระบวนการมีส่วนร่วม มาสู่แนวคิดใหม่ ที่ต้องยอมรับการเปลี่ยนแปลง จะคิดแบบเก่าไม่ได้ ขณะเดียวกันต้องเข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นมีผลกระทบ ทั้งดีและไม่ดีต่อชุมชน"
ในฐานะประธานเครือข่ายร่วมสร้างชุมชนท้องถิ่นน่าอยู่ สมพรแนะนำว่า ผู้นำต้องรู้จักนำความเปลี่ยนแปลงที่ดี และเหมาะสมเข้ามาสู่ชุมชน ซึ่งอาจแตกต่างกันไปตามบริบทชุมชนที่แตกต่างกัน ที่สำคัญต้องรู้ทันความเปลี่ยนแปลงภายนอก ซึ่งในอนาคตจะถาโถมเข้ามาอีกมหาศาล ดังนั้นผู้นำที่มีการวิเคราะห์วิจารณญาณ ก็จะรู้จักปรับสมดุล และกลั่นกรอง รวมถึงสามารถนำพาให้ชุมชน อยู่กับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้อย่างปลอดภัย
"อยากให้ชุมชนเชื่อในพลังที่เรากำลังทำอยู่ ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการระเบิด จากข้างในหรือการใช้ทุนชุมชนมาเป็นฐานในการแก้ปัญหาชุมชน เพราะจากวิกฤติโควิดแสดงให้เราเห็นชัดเจนแล้วว่า เรามีพลังที่สามารถจะดูแลชุมชนเราเองได้ และสามารถเข้มแข็งพึ่งพาตัวเองได้ทุกสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น"
ประธานเครือข่ายร่วมสร้างชุมชนท้องถิ่นน่าอยู่ ยังเอ่ยว่า ผู้นำสายพันธุ์ใหม่ ควรเห็นความสำคัญของการบริหารข้อมูล เพราะการใช้ข้อมูลเป็นกระบวนการมีส่วนร่วมเบื้องต้น ที่ต้องนำมาใช้วิเคราะห์ วางแผน แต่ทุกวันนี้การใช้ข้อมูลยังอยู่ในระดับบริหารส่วนใหญ่
"เดิมสังคมไทยไม่ค่อยเห็นความสำคัญของข้อมูล แต่เครือข่ายฯและ สสส.ใช้ ความพยายามในเรื่องนี้มา 10 กว่าปี เพราะทุกกระบวนการตั้งแต่การวางเป้าหมายพัฒนาในชุมชน การแก้ปัญหาต่าง ๆ ข้อมูลสามารถตอบโจทย์และตอบปัญหาได้ทุกประเด็น ที่สำคัญคือ ต้องทำให้เห็นว่าข้อมูลที่เราเก็บไปมันเกิดประโยชน์กับเขา หรือเอาไปแก้ปัญหาชุมชนได้ เขาจะได้ให้ความร่วมมือและการยอมรับ" สมพรแนะนำ
เช่นเดียวกับบัญชรที่เห็นด้วยกับประเด็นนี้ โดยบอกว่า ข้อมูลเป็นเครื่องมือสำคัญมาก ที่จะทำให้เกิดความคิดปัญญา แต่การจัดการข้อมูลต้องใช้กระบวนการมีส่วนร่วม คือหัวใจของการทำงาน "เพราะถ้าไม่มีส่วนร่วม ข้อมูลที่มีก็ไม่ถูกนำไปใช้ หรือไม่มีประโยชน์" เขาเอ่ยทิ้งท้าย
"ผู้นำยุคใหม่ที่ต้องเปลี่ยนความคิดแบบเดิมในเรื่องอำนาจ มาสู่การใช้กระบวนการมีส่วนร่วม มาสู่แนวคิดใหม่ ที่ต้องยอมรับการเปลี่ยนแปลง จะคิดแบบเก่าไม่ได้ ขณะเดียวกันต้องเข้าใจว่า การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นมีผลกระทบทั้งดีและไม่ดีต่อชุมชน"