ปลูกฝังเด็กไทยดูแลตัวเองเป็นคนดีไม่สร้างภาระสังคม
ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์
ภาพประกอบจากหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์
เมื่อ "ลุงตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ประกาศว่า ประเทศชาติจะต้องก้าวเข้าสู่การเป็นไทยแลนด์ยุค 4.0 ด้วยการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการขับเคลื่อน ขณะที่เด็กและเยาวชนของประเทศจำเป็นต้องปรับตัวและเรียนรู้กระแสโลกเหล่านี้ แต่สิ่งสำคัญที่ต้องไม่ลืมคือทักษะชีวิต การตัดสินใจและเอาตัวรอดจากสถานการณ์ต่างๆ เมื่อภัยมา ซึ่งเทคโนโลยีต่างๆ อาจยังไม่สามารถเข้าไปช่วยเหลือในเหตุการณ์เฉพาะหน้าได้
เมื่อวันเด็ก วันที่ 13 มกราคม ที่ผ่านมา บริเวณทำเนียบรัฐบาล สมาคมเวชศาสตร์ฉุกเฉินแห่งประเทศไทย โดยโครงการส่งเสริมและป้องกันคนไทยไม่ให้เจ็บป่วยฉุกเฉิน สนับสนุนโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดกิจกรรมวันเด็กชูแนวคิด "รู้รอดปลอดภัย เด็กไทย 4.0" หวังให้เด็กไทยมีความรู้ดูแลตนเอง เพื่อก้าวเข้าสู่การเป็นผู้ใหญ่ที่แข็งแรง ตอบรับกระแสสังคมผู้สูงอายุในอนาคต
ศ.เกียรติคุณ นพ.สันต์ หัตถีรัตน์ นายกสมาคมเวชศาสตร์ฉุกเฉินแห่งประเทศไทย ผู้ใหญ่ใจดีและภาคีของ สสส. เล่าว่า ในปีนี้สมาคมเวชศาสตร์ฉุกเฉินฯ ได้ร่วมกับ โรงพยาบาลราชวิถี จัดงานวันเด็กแห่งชาติภายใต้แนวคิดการจัดงาน "รู้รอดปลอดภัย เด็กไทย 4.0" ขึ้นมา ในการจัดกิจกรรมครั้งนี้ เด็กๆ จะได้รับความรู้ในการดูแลสุขภาพของตนเองอย่างไรให้ปลอดภัยจากโรค และรู้จักเอาตัวเองให้รอดปลอดภัยจากสถานการณ์ฉุกเฉินต่างๆ ได้ รวมทั้งสามารถแจ้งเหตุเรียกขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องผ่านเลขหมายฉุกเฉิน 1669 ได้
"เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มรูปแบบ เด็กๆ ในวันนี้เขาก็จะเป็นผู้สูงอายุในอนาคต ทั้งนี้ กิจกรรมที่จัดทำในวันนี้จะสอนให้เด็กๆ รู้จักที่จะดูแลและรักษาสุขภาพของตนเองและคนในครอบครัวให้ปลอดภัยจากการเจ็บป่วยฉุกเฉิน เรื่องของวิธีการเอาตัวรอดให้ปลอดภัยจากโรคและสถานการณ์ต่างๆ ซึ่งเรื่องต่างๆ เหล่านี้ผู้ใหญ่ควรจะปลูกฝังสิ่งดีๆ เพื่อในอนาคตเด็กๆ จะได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่แข็งแรง ปลอดจากโรค เมื่อเป็นผู้สูงอายุก็จะเป็นผู้สูงอายุที่มีสุขภาพดี ไม่เป็นภาระแก่สังคม" ศ.เกียรติคุณ นพ.สันต์ หัตถีรัตน์ ระบุทิ้งท้าย
ด้าน พญ.ณธิดา สุเมธโชติเมธา กลุ่มงานเวชศาสตร์ฉุกเฉิน โรงพยาบาลราชวิถี กล่าวว่า โรงพยาบาลราชวิถีได้จัดกิจกรรมวันเด็กที่ทำเนียบรัฐบาลมาทุกปี แต่ในปีนี้ได้เชิญสมาคมเวชศาสตร์ฉุกเฉินแห่งประเทศไทยมาเข้าร่วมในการจัดกิจกรรม สืบเนื่องจากว่าในการจัดกิจกรรมเข้าค่ายรู้รอดปลอดภัยของสมาคมเวชศาสตร์ฯ ที่ผ่านมาได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากเยาวชนและโรงเรียนต่างๆ ดังนั้นจึงได้นำกิจกรรมที่เคยจัดในค่ายมาให้ความรู้แก่เด็กและเยาวชนที่มาร่วมงานในวันเด็กแห่งชาติในปีนี้ที่ทำเนียบรัฐบาล โดยหวังว่าเด็กไทยในยุค 4.0 จะต้องรู้จักวิธีเอาตัวรอดได้
ส่วนกิจกรรมที่จะมีในวันนี้คือ กิจกรรมถาม-ตอบ เล่นเกม ซึ่งเด็กๆ ที่มาร่วมงาน รวมทั้งผู้ปกครองจะได้รับความรู้ติดตัวกลับไป เช่น ทำไมถึงต้องล้างมือ และวิธีการล้างมือที่ถูกต้องทำอย่างไร, การประเมินความเสี่ยงในสถานการณ์ต่างๆ, วิธีการปฐมพยาบาลเบื้องต้นที่ถูกต้อง, แจกของรางวัลต่างๆ นอกจากนี้ ความพิเศษของปีนี้คือ เด็กๆ จะได้เรียนรู้บนรถฉุกเฉินเกี่ยวกับการโทร.แจ้งเหตุและการให้ทางรถฉุกเฉิน เป็นต้น
ขณะที่ ด.ช.นรินทร สุ่มเสียงชัย หรือ "น้องบีม" อายุ 6 ขวบ บอกว่า ดีใจมากที่ได้มาเที่ยวงานวันเด็กที่ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งพ่อและแม่พามาเที่ยวทุกปี และปีนี้ก็พิเศษมากที่ได้เดินมาที่บูธรู้รอดปลอดภัย เด็กไทย 4.0 ซึ่งมีกิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย เช่น ให้ขึ้นไปดูรถฉุกเฉิน ซึ่งในนั้นมีเครื่องมือสำหรับช่วยชีวิตผู้ประสบเหตุ และยังได้ฟังพี่จากหน่วยกู้ชีพอธิบายขั้นตอนการช่วยเหลือจากต้นทางจนนำส่งถึงโรงพยาบาล ซึ่งน่าเห็นใจทีมกู้ชีพอย่างมาก เพราะต้องทำงานตลอดเวลา และต้องฟันฝ่ารถติด โดยพวกพี่ๆ เขาคิดแค่ว่าทำยังไงก็ได้ให้ผู้ป่วยรอดตาย
อีกทั้งในบริเวณบูธยังมีกิจกรรมสนุกสนาน ตอบคำถามลุ้นรับของรางวัล ซึ่งผมตอบได้ทุกข้อ และจะนำความรู้ที่ได้ในวันนี้ไปบอกต่อ และถ้าพบเห็นเหตุการณ์ที่ตัวเองพอจะช่วยอะไรใครได้ ก็ยินดีจะช่วยทันที การปลูกฝังเด็กและเยาวชนให้รู้จักที่จะดูแลสุขภาพตนเอง และรู้จักที่จะช่วยเหลือผู้อื่น เป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายควรเร่งให้การสนับสนุน สอดคล้องกับยุคคนไทย 4.0.
"ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มรูปแบบ เด็กๆ ในวันนี้เขาก็จะเป็นผู้สูงอายุในอนาคต ทั้งนี้ กิจกรรมที่จัดทำในวันนี้จะสอนให้เด็กๆ รู้จักที่จะดูแลและรักษาสุขภาพของตนเองและคนในครอบครัวให้ปลอดภัยจากการเจ็บป่วยฉุกเฉิน เรื่องของวิธีการเอาตัวรอดให้ปลอดภัยจากโรคและสถานการณ์ต่างๆ ซึ่งเรื่องต่างๆ เหล่านี้ผู้ใหญ่ควรจะปลูกฝังสิ่งดีๆ เพื่อในอนาคตเด็กๆ จะได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่แข็งแรง ปลอดจากโรค เมื่อเป็นผู้สูงอายุก็จะเป็นผู้สูงอายุที่มีสุขภาพดี ไม่เป็นภาระแก่สังคม"