ปลูกฝังประชาธิปไตยในเด็กช่วงเลือกตั้ง

ช่วงการเลือกตั้งนี้ ถือเป็นโอกาสดีในการปลูกฝังเรื่องของประชาธิปไตยให้เยาวชนได้เห็นคุณค่าของการไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ถือการเป็นทำหน้าที่อย่างหนึ่งของประชาชน ภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตย และยังเป็นเรื่องของส่วนรวมที่คนในสังคมต้องเรียนรู้ ต้องยอมรับฟังข้อสรุปของส่วนรวม เพราะว่าสังคมมีระเบียบและกติกา


ปลูกฝังประชาธิปไตยในเด็กช่วงเลือกตั้ง
      


นพ.ไกรสิทธิ์ นฤขัตพิชัย จิตแพทย์และกรรมการผู้จัดการ โรงพยาบาลมนารมย์ กล่าวว่า การปลูกฝังและการเสริมสร้างประชาธิปไตย ควรเริ่มตั้งแต่เด็กๆ ถึงแม้ว่าเด็กเล็กอาจจะรับรู้ไม่ลึกซึ้งเหมือนผู้ใหญ่ สิ่งที่พ่อแม่หรือครูควรทำ คือการสร้างสภาพแวดล้อมให้เป็นประชาธิปไตย เช่น ทำกิจกรรมร่วมกัน ปรึกษาหารือกัน เพื่อให้ได้ข้อสรุป หรืออาจจะมีการแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบ ให้เด็กได้รู้จักหน้าที่ของตนเอง และพยามยามสอดแทรกในเรื่องของสิทธิ ความเท่าเทียมกัน โดยอาจจะอาศัยสถานการณ์ต่างๆ ภายในบ้าน ซึ่งเป็นการส่งเสริมประชาธิปไตยทางอ้อม


สำหรับเด็กโต พ่อแม่ หรือครูควรให้เด็กมีโอกาสได้รับรู้ข้อมูลรอบด้านให้มากที่สุด หากเด็กฟังทางเดียว ผู้ใหญ่ควรช่วยแนะนำให้เด็กได้รู้จักการฟังรอบด้าน และชวนคุยกระตุ้นให้เขาคิดและตัดสินใจด้วยตัวเอง มากกว่าการชี้นำด้วยผู้ใหญ่


นอกจากนั้นแล้ว นพ.ไกรสิทธิ์ ยังได้แนะ 5 วิธีสื่อสารกับลูกในช่วงเลือกตั้งไว้อย่างน่าสนใจ ดังนี้


1. ควรอธิบายให้ลูกเข้าใจว่าการที่เราจะไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้งถือเป็นการทำหน้าที่อย่างหนึ่ง ซึ่งหน้าที่ไม่ได้ไปแค่เข้าคูหา กากบาทแล้วก็เสร็จ แต่จริงๆ การกากบาทนั้นมีคุณค่าหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคนใช้เวลาพินิจพิเคราะห์มากน้อยแค่ไหนในการเลือก


2. ควรสอนให้ลูกรู้จักการฟังรอบด้าน ไม่ใช่ฟังกลุ่มเดียว ด้านเดียว ทำให้การมองภาพไม่ทั่วและกว้าง เช่น อาจแนะนำให้ลูกศึกษาหาข้อมูลของผู้สมัคร หรือพรรคการเมือง ไม่ใช่เลือกเพราะเห็นคนอื่นเลือก หรือเลือกตามพ่อแม่ แม้อีกฝ่ายหนึ่งจะมีความคิดเห็นไม่ตรงกัน ก็สมควรฟังให้ได้มากที่สุด เพราะว่าตัวเราเองก็ต้องหาข้อสรุปให้กับตัวเอง เพราะบางทีเรื่องเดียวกัน ฟังคนหนึ่งพูด อีกคนเล่า กลายเป็นหนังคนละเรื่อง ก็ต้องบอกให้ลูกรู้จักชั่งใจ รับฟัง เพราะการที่ได้ฟังความหลายด้านจะช่วยทำให้ลดความผิดพลาดได้


3. อธิบายให้ลูกเข้าใจถึงการเลือกตั้งว่าแม้ผลจะออกมาเป็นอย่างไร การเลือกตั้งถือเป็นงานที่เสร็จไปเพียงหนึ่งขั้นตอนเท่านั้น ยังมีงานที่ต้องทำอีกหลายขั้นตอน ให้มองว่าเป็นเรื่องส่วนรวมไม่ใช่เรื่องส่วนตัวที่จะแพ้ ชนะ เสียหน้า เสียศักดิ์ศรี เพราะถ้าถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัวอาจเป็นการแยกแยะที่ไม่ถูกต้อง


4. ให้คำแนะนำลูกในเรื่องการรับรู้ข่าวสาร เพราะบางทีข่าวการเมืองอาจทำให้เกิดความเครียดได้ ดังนั้นไม่ควรยึดติด หรือถ้าหากติดตามข่าวสารเพื่อเป็นข้อมูลประกอบในการตัดสินใจแล้วเกิดความเครียดควรแนะนำให้ลูกหยุดแล้วไปทำกิจกรรมอื่น เพราะชีวิตยังมีอีกหลายด้านให้ต้องทำและรับผิดชอบ ทั้งนี้ต้องเอาใจใส่มากๆ เพราะความเครียดอาจทำให้บรรยากาศ หรือความสัมพันธ์ภายในครอบครัวเสีย เกิดความขัดแย้งในครอบครัวได้ พ่อแม่เองถ้าเครียดก็ต้องหยุดพูดเรื่องนั้น หันมาคุยเรื่องอื่น เช่น เรื่องสถานที่ท่องเที่ยว หรือ ภาพยนตร์


5. ที่สำคัญที่สุดพ่อแม่ควรเป็นแบบอย่างที่ดีในเรื่องของความมีประชาธิปไตย เช่น ไม่ทะเลาะ หรือ ขัดแย้ง โต้เถียงเรื่องการเมืองให้ลูกเห็น ควรยอมรับฟังความคิดเห็นของกันและกัน และยอมรับในประชาธิปไตยเพื่อเป็นตัวอย่างที่ดีแก่ลูก


ดังนั้น เราต้องฝึกให้เด็กมีความคิดเป็นของตัวเอง รู้จักเคารพความเห็นของกันและกัน ไม่ใช่คิดหรือเลือกตามผู้ใหญ่ และมีเหตุผลอธิบายกับตัวเองได้ในการกระทำนั้นๆ ข้อสรุปนี้ จะเป็นตัวชี้วัด ว่าคนนั้นมีวุฒิภาวะมากหรือน้อย เป็นกระตุ้นให้เด็กมีความเติบโตและความคิดเป็นของตัวเอง ซึ่งจะทำให้เด็กสามารถซึมซับเรื่องของประชาธิปไตยและสามารถตัดสินใจโดยใช้การพินิจพิเคราะห์ด้วยเหตุและผลของตัวเองได้เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ และสามารถยอมรับผลต่างๆที่ออกมาได้


 



ที่มา : หนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการ โดย นพ.ไกรสิทธิ์ นฤขัตพิชัย



 

Shares:
QR Code :
QR Code