`ปลูกผักกินเอง` เทรนด์วัยเกษียณ
ที่มา : หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์
แฟ้มภาพ
ไม่ใช่แค่สุขภาพดีเพราะได้กินผักที่ปลูกเองกับมือ แต่ทว่ายังทำให้จิตใจของคนสูงวัยแจ่มใสขึ้นอีกด้วย กับกิจกรรม “ปลูกผักกินเองที่บ้าน” ที่จัดขึ้นโดยนิตยสาร “SooK” ในเครือ สสส. งานอดิเรกที่หลายคนมองเป็นงานฆ่าเวลาของผู้สูงวัย แต่ในความเป็นจริงแล้ว ยังถือเป็นการส่งเสริมให้คุณตาคุณยายบริโภคผักปลอดสารพิษแทนที่จะปลูกผักเพื่อแก้เหงา ส่วนหลายคนที่ติดข้อจำกัดเรื่องพื้นดินในการเพาะเมล็ดนั้น…งานนี้ หนูนิด-พรพรรณ รักปราการ ผู้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการปลูกผักรับประทานเองที่บ้าน ได้ให้ความรู้เกี่ยวกับการ “ปลูกผักในกระบะไม้” (พาเลทไม้) หรือ “การปลูกผักแนวราบ” ที่ทั้งสะดวกและดูแลง่ายมาบอกกัน
“การปลูกผักกินเองที่บ้าน ไม่ใช่แค่คุณตาคุณยายจะใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์แล้ว แต่ยังทำให้ท่านได้มีกิจวัตรประจำวันทำ โดยไม่รู้สึกเหงา ที่สำคัญยังทำให้คนสูงวัยได้บริโภคผักปลอดสารพิษด้วยค่ะ อีกทั้งการปลูกผักยังช่วยเสริมสร้างครอบครัวให้อบอุ่นได้ด้วย เพราะคุณตาคุณยายสามารถเด็ดผักที่ปลูกมาปรุงเป็นเมนูอาหารเพื่อทำให้ลูกหลานรับประทานได้ และผักที่ปลูกเองยังทำให้ประหยัดค่าใช้จ่าย อีกทั้งยังสามารถตกต่างบ้านให้ร่มรื่นได้ด้วยค่ะ ที่กล่าวมาคือประโยชน์ของการปลูกผักกินเองค่ะ” พรพรรณ กล่าว
ส่วนเทคนิคการปลูกผักสไตล์คนเมืองของคุณตาคุณยาย ที่มักจะมีข้อจำกัดเรื่องพื้นที่เพาะปลูกนั้น โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่พักอยู่ในคอนโดมิเนียม หรือแฟลตต่างๆ หนูนิด แนะนำถึงวิธีการปลูกและเมล็ดพันธุ์ผักที่โต และดูแลรักษาง่ายว่า “การปลูกผักกินเองของผู้สูงวัยที่อาศัยอยู่ในเมือง เช่น อยู่คอนโดฯ หรือห้องแถวนั้น สามารถใช้ “พาเลทไม้” หรือ “การปลูกผักในกระบะไม้” โดยเพาะเมล็ดลงในกระถางใบเล็กๆ จากนั้นพรมน้ำให้ชุ่มพอประมาณ และนำไปเรียงไว้ในกระบะไม้นั่นเอง ซึ่งเป็นวิธีการปลูกผักกินเองที่สะดวก สามารถเคลื่อนย้ายเพื่อหลบ หรือรับแสงแดดที่พอเหมาะกับผักที่ปลูกได้ ที่สำคัญต้องเลือกปลูกผักที่โตง่าย หรือเด็ดแล้วแตกยอดง่าย และไม่ต้องใช้การดูแลที่ซับซ้อนมากนัก เช่น ผักสำหรับโรย หรือผักสำหรับปรุงเมนูอาหารง่ายๆ เช่น การปลูกต้นอ่อนทานตะวัน (เพาะในกะละมังเล็ก) หรือผักยืนต้น อย่างการ ปลูกพริก, ใบโหระพา, กะเพรา, ผักชีฝรั่ง, ผักชีลาว, สะระแหน่, คะน้าต้นเล็ก ฯลฯ เป็นต้น
ซึ่งผักเหล่านี้จะใช้เวลาการเติบโต และสามารถเด็ดรับประทานได้ อยู่ที่ประมาณ 1 เดือน ที่สำคัญคุณตาคุณยายสามารถปลูกให้ปลอดสารเคมีได้ ด้วยการใส่ปุ๋ยคอกแทนปุ๋ยเคมีค่ะ ขณะเดียวกันก็ควรลดน้ำผักเหล่านี้วันละ 2 ครั้งเช้า-เย็น โดยที่ไม่ต้องชุ่มจนเกินไปค่ะ นอกจากนี้ผู้สูงอายุยังสามารถเลือกผักที่ชอบรับประทานมาปลูกในกระบะไม้ได้เช่นเดียวกัน เช่น ผักกาดขาว-เขียว หรือผักบุ้งจีนพันธุ์เล็ก ฯลฯ”นอกจากผักยืนต้นที่กล่าวมานั้น ผู้สูงอายุสามารถปลูกผักที่ให้ไฟเบอร์สูงและช่วยย่อยอย่าง “ถั่วงอก” และ “คะน้าต้นเล็ก” (ในกระบะไม้) ได้
เช่นเดียวกัน งานนี้หนูนิด บอกให้ฟังถึงสรรพคุณของผักทั้งสองชนิดว่า “ผู้สูงอายุที่มักมีปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหารนั้น สามารถเพาะถั่วงอกบริโภคเอง ซึ่งไม่เพียงปลอดสารพิษ แต่ถั่วงอกเป็นผักที่มีโปรตีนสูง และช่วยย่อยได้ดีอีกด้วย นอกจากนี้การปลูกคะน้าต้นเล็ก ว่ากันว่าผักใบเขียวทุกชนิด โดยเฉพาะผักคะน้านั้น จะมีไฟเบอร์สูงมาก เช่น บริเวณใบของคะน้า ซึ่งจะช่วยทำให้ผู้สูงวัยขับถ่ายได้ง่ายยิ่งขึ้น ที่สำคัญผักทั้ง 2 ชนิดไม่เพียงปลูกง่าย แต่ยังดูแลง่ายอีกด้วย”
ขณะที่ คุณป้าอี๊ด-เพิ่มทรัพย์ ตาตะนันท์ วัย 78 ปี ที่แวะเวียนมาชมการสาธิตปลูกผักแนวราบ เพราะชอบปลูกต้นไม้ และชอบรับประทานผักที่ปลูกเอง บอกว่า “ป้าชอบปลูกต้นไม้ และชอบปลูกผักกินเองค่ะ ที่สำคัญการปลูกผักหรือปลูกต้นไม้ มันทำให้ป้าได้อยู่ในโลกของตัวเอง ซึ่งเป็นโลกแห่งความสุข ป้าจะรู้สึกแฮปปี้มากๆ ถ้าเราได้ลงมือถอนหญ้าในแปลงผักที่ปลูก เพราะการปลูกผักกินเองนั้น ไม่ใช่แค่ทำให้เราได้กินผักปลอดสารพิษ แต่ยังทำให้เราได้ออกกำลังกาย ที่สำคัญยังทำให้เราได้เพื่อนอีกด้วยค่ะ เวลาที่เราปลูกผักกินเอง เราจะมีพันธุ์ผักไปแลกกับเพื่อนๆ ทำให้คนแก่ที่รักการปลูกผักกิน มีสังคมไปด้วยในตัวค่ะ หากช่วงไหนที่หาเมล็ดพันธุ์ผักไม่ได้ ป้าจะนำรากผักที่ซื้อมา เช่น ผักขึ้นฉ่าย มาปักที่ดิน ก็ทำให้มีผักที่หลากหลายกิน โดยไม่ต้องซื้อเมล็ดพันธุ์บ่อยๆ ค่ะ ใครที่พอมีพื้นที่ การปลูกผักกินเองก็ช่วยให้มีสุขภาพดีได้ค่ะ”
นอกจากการปลูกผักในกระบะไม้แล้ว การ “เพาะต้นอ่อนทานตะวัน” ก็ถือเป็นการปลูกผักกินเอง ที่ทำให้สุขภาพของผู้สูงวัยดี เพราะต้นอ่อนทานตะวันมีโปรตีนสูงกว่าถั่วเขียวถึง 2 เท่า และยังมีวิตามิน เอ,บี 2 ,อี,ดี,เค โดยเฉพาะวิตามินเอ ที่ช่วยบำรุงสายตาและผิวพรรณผู้สูงอายุ โดยมีขึ้นตอนการปลูกต่อไปนี้
1.แช่เมล็ดทานตะวันในน้ำสะอาด 1 คืน,
2.เตรียมดินใส่ในภาชนะ (กะละมังพลาสติก) สูงประมาณ 1 นิ้ว แล้วพรมน้ำให้ทั่ว
3.โรยเมล็ดทานตะวันที่แช่น้ำแล้ว โดยกระจายให้ทั่วภาชนะ แล้วพรมน้ำตามอีกครั้ง
4.นำฝาภาชนะชนิดเดียวกันมาปิดทับไว้ด้านบน (หาฝาปิดด้านบนภาชนะ เช่น กระดาษแข็ง)
5.พรมน้ำวันละ 2 ครั้ง เช้าและเย็น
6.เมื่อครบ 7-11 วัน ให้รวบต้นและใช้กรรไกรตัด ล้างให้สะอาด แล้วนำไปปรุงเป็นอาหารได้ทัน (การบริโภคในสลัดผักสดจะดีกว่าการต้มหรือผัด