“ปรับโครงสร้างกฎหมาย – สร้างกลไกคุ้มครอง”
สองจุดหลักปฏิรูปสื่อ
นักวิชาการ ชี้ 2 จุดหลักปฏิรูปสื่อ “ปรับโครงสร้างกฎหมาย – สร้างกลไกคุ้มครอง” แนะผู้บริโภคผลักดันตั้ง “องค์กรอิสระ” เฝ้าระวังสื่อ ย้ำสิ่งสำคัญต้องเข้าใจจุดมุ่งหมายที่แท้จริง “วสันต์” แนะเร่งทำคลอด พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ เปิดทางสื่อสร้างสรรค์
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 6 ต.ค. ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คณะกรรมการพัฒนาส่งเสริมสิทธิเสรีภาพและความรับผิดชอบสื่อมวลชน (คพส.) ร่วมกับเครือข่ายปฏิรูปสื่อภาคพลเมือง จัดสัมมนาสาธารณะ “กลไกปฏิรูปสื่อภาคพลเมือง” โดยนายมานิจ สุขสมจิตร ประธาน คพส. กล่าวว่า วิกฤตการณ์ความขัดแย้งทางความคิดและการเมืองในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา นำไปสู่การเรียกร้องให้มีการปฏิรูปประเทศในทุกด้าน และการปฏิรูปสื่อเป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญที่พยายามผลักดันให้เกิดขึ้น โดยมีการปรับปรุงและพัฒนากฎหมายหลายฉบับ แต่ยังไม่สำเร็จ เพราะการปฏิรูปสื่อ จำเป็นต้องได้รับการมีส่วนร่วมจากภาคประชาชน เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน
รศ.ดร.วิลาสินี อดุลยานนท์ ผู้อำนวยการสำนักรณรงค์และสื่อสารสาธารณะเพื่อสังคม สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า การปฏิรูปสื่อในยุคนี้ ควรเน้นที่สองเรื่อง คือ การปฏิรูปโครงสร้างกฎหมายและความเป็นเจ้าของสื่อ และการสร้างกลไกการคุ้มครองผู้บริโภคสื่อ คือเป็นการทำทั้งสองด้านคู่ขนานกัน ทั้งด้านสิทธิและคุณภาพของฝ่ายสื่อ และด้านความเข้มแข็งของฝ่ายผู้รับสื่อ ซึ่งต้องยกระดับเป็นองค์กรเฝ้าระวังสื่อที่มีความเป็นอิสระ ได้รับการยอมรับจากองค์กรวิชาชีพ วิชาการ และภาคนโยบาย มีงบประมาณสนับสนุนที่ชัดเจนเพื่อให้องค์กรขับเคลื่อนได้ โดยมีช่องทางเชื่อมต่อกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เกิดผลสะท้อนกลับและเกิดการแก้ไขได้จริง ซึ่งอาจต้องมีกฎหมายรองรับเพื่อให้องค์กรนี้มีสถานะและบทบาทที่ชัดเจน
“หากรอให้ร่าง พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับกิจการวิทยุกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม มีผลบังคับใช้เพื่อจัดตั้งองค์กรขึ้นมาดูแลคุ้มครองผู้บริโภค ก็อาจต้องใช้เวลานาน 1-2 ปี ดังนั้นการรวมตัวของภาคประชาชนเพื่อขับเคลื่อนให้เกิดการจัดตั้งองค์กรอิสระ เป็นกลไกคุ้มครองและเฝ้าระวังสื่อ น่าจะเป็นแนวทางที่เกิดได้เร็วกว่า โดยเบื้องต้นอาจจัดตั้งเป็นสถาบันวิชาการ อยู่ในสถานศึกษาก่อนเพื่อสร้างให้ภาคประชาชนเกิดองค์ความรู้และเห็นความสำคัญ” รศ.ดร.วิลาสินี กล่าว
ดร.เอื้อจิต วิโรจน์ไตรรัตน์ ประธานสถาบันพัฒนาสื่อภาคประชาชน กล่าวว่า รัฐธรรมนูญปี 2540 ถึงฉบับปัจจุบัน มีเจตนารมย์ให้ภาคประชาชนมีสิทธิในคลื่นและดำเนินกิจการวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์ แต่การปฏิรูปสื่อเพื่อไปสู่แนวทางดังกล่าวใช้เวลานานกว่าทศวรรษ ก็ยังไม่บรรลุผลเพราะผู้มีอำนาจหน้าที่ทั้งด้านการออกกฎหมาย และการบังคับใช้ให้เกิดผลในระบบการบริหารจัดการ หรือ หน่วยงานภาครัฐ ยังมีบุคลากรที่ไม่ใช่ไม่รู้ ไม่เข้าใจ แต่เป็นเรื่องของทัศนคติ ที่คุ้นเคยว่า สื่อกระจายเสียงและแพร่ภาพ เป็นเรื่องของภาครัฐ และ ภาคธุรกิจ ในขณะที่สื่อมวลชน รวมทั้งภาควิชาการ โดยส่วนใหญ่ ก็ไม่ได้มีส่วนร่วมในการสนับสนุนอย่างจริงจัง ในส่วนกระบวนการภาคประชาสังคม แม้มีหัวขบวนระดับประเทศ และ ผู้นำการเปลี่ยนแปลงในทุกจังหวัด แต่ยังขาดพลังเพราะขาดเอกภาพ และการมีเจ้าภาพที่ทำหน้าที่อย่างจริงจัง
ด้าน นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ ประธานสภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย กล่าวว่า ในฐานะผู้ประกอบวิชาชีพสื่อมองว่าควรเร่งผลักดันร่าง พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ฯ ให้เกิดขึ้นโดยเร็ว จะทำให้มีการจัดสรรคลื่นความถี่ที่กระจายตัวมากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันสื่อส่วนใหญ่อยู่ในมือรัฐหรือสื่อภาคเอกชนก็เป็นไปในเชิงสื่อพาณิชย์ ดังนั้นควรมีการจัดสรรสื่อโดยให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมเพื่อให้เกิดสื่อสาธารณะมากขึ้น ให้เป็นประโยชน์ต่อประชาชน นอกจากนี้ควรมีองค์กรอิสระเพื่อคุ้มครองผู้บริโภค และกำกับการนำเสนอของสื่อให้อยู่ในแนวทางที่เหมาะสมและให้ประชาชนรู้เท่าทันสื่อ
ที่มา:สำนักข่าว สสส.
Update:6-10-53
อัพเดทเนื้อหาโดย:คีตฌาณ์ ลอยเลิศ