ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหยุดความรุนแรงในครอบครัว

มูลนิธิหญิงชายก้าวไกลเผยผลสำรวจเด็กประถม สะท้อนครอบครัวไทยนิยมใช้ความรุนแรงเกินครึ่ง โต้เถียง ด่าทอ หยาบคาย ห่วงเด็กเลือกประชดพ่อแม่


ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหยุดความรุนแรงในครอบครัว thaihealth


19 พ.ย. 58 มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) จัดกิจกรรมรณรงค์เนื่องในโอกาสวันยุติความรุนแรงต่อผู้หญิงและเด็ก ประจำปี2558 ภายใต้แนวคิด“เปิด ปรับ เปลี่ยน:หยุดความรุนแรง”ภายในงานมีการแสดงละครสั้น เพื่อสะท้อนความรุนแรงในมุมต่างๆ


นายสิทธิศักดิ์ พนไธสงค์ ฝ่ายส่งเสริมภาคีเครือข่าย มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล กล่าวว่า เนื่องในวันที่25พ.ย.ของทุกปีคณะรัฐมนตรีมีมติกำหนดให้เดือนพ.ย.เป็นเดือนแห่งการรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อผู้หญิงและเด็ก มูลนิธิฯจึงลงพื้นที่เก็บรวบรวมความคิดเห็นสถานการณ์ปัญหาความรุนแรง โดยสำรวจเด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่4-6ในมุมมองของลูกกับปัญหาความรุนแรงในครอบครัว จาก26โรงเรียน ในพื้นที่กรุงเทพฯ และต่างจังหวัด สัดส่วนชายต่อหญิงครึ่งต่อครึ่ง และพบว่ากลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่อยู่กับพ่อและแม่ โดย 85.1%ยอมรับว่า คนในครอบครัวเคยมีปากเสียงทะเลาะเบาะแว้งกัน กิจวัตรประจำวันของคนในครอบครัว


ที่น่าห่วงคือมี 70.6% ติดมือถือ เล่นไลน์ เฟสบุ๊ก ขณะที่63.4%โต้เถียง ด่าทอ พูดจาหยาบคาย62.8%พ่อแม่ทำงานหนักไม่มีเวลาให้ลูก57%คนในครอบครัวดื่มเหล้า/เบียร์/เล่นการพนัน อบายมุข


เมื่อถามถึงความรู้สึกที่พ่อแม่ทะเลาะกัน พบว่าเด็กๆส่วนใหญ่รู้สึกเสียใจ ร้องไห้ กลัวกังวล เครียด เบื่อเซ็ง หมดกำลังใจ หรือมีแม้กระทั่งพบเห็นบ่อยจนชินไปแล้ว ทั้งนี้สิ่งที่เด็กๆเลือกทำเมื่อเห็นคนในครอบครัวทะเลาะกันคือ23.4%เลือกที่จะเข้าไปห้าม14.4%เลือกที่จะอยู่เฉยๆ10%ขอเก็บปัญหาไว้คนเดียวไม่บอกใคร แต่ที่น่าห่วงคือ6.7%อยากจะประชดพ่อแม่


นายสิทธิศักดิ์ กล่าวว่า เมื่อเด็กๆพบเห็นคนในครอบครัวดื่มเหล้าเบียร์ มักจะมองว่าเป็นเรื่องธรรมดา อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่แล้วกลุ่มตัวอย่างเหล่านี้ต่างต้องการให้ครอบครัวกลับมามีความสุข สนิทสนามกัน พูดคุยกันทุกเรื่อง มีเวลาให้ครอบครัว มีกิจกรรมที่ทำร่วมกัน รับประทานอาหาร ดูโทรทัศน์ ช่วยกันทำงานบ้าน คอยให้คำปรึกษาลูกๆ คือทุกคนต้องให้ความสำคัญกับครอบครัว ทำกิจกรรมร่วมกันบ่อยๆ หรืออยากให้มีเวลาอยู่ด้วยกัน ทำกิจกรรมด้วยกันอย่างน้อยสัปดาห์ละหนึ่งวัน ตลอดจนขอให้ใช้เหตุผลมากกว่าการทำโทษ พูดคุยกันให้มากขึ้น ที่สำคัญคือเด็กๆอยากให้พ่อแม่เลิกดื่ม เลิกพนันและอบายมุข


นายแพทย์บัณฑิต ศรไพศาล ผอ.สำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยง สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ กล่าวว่า จากผลสำรวจสะท้อนว่าครอบครัวมีความขัดแย้งหลายระดับ ตั้งแต่การทะเลาะด่าทอพูดจาหยาบคายทำร้ายร่างกาย ทำลายข้าวของ ซึ่งครอบครัวที่ดื่มเหล้าเบียร์หรือเล่นการพนันมีโอกาสขัดแย้งมากขึ้น มีผลทำให้ทะเลาะเพิ่มขึ้น14%ด่าทอเพิ่มขึ้น46%มีผลให้ทำร้ายร่างกายเพิ่มขึ้น90%และทำลายข้าวของเพิ่มขึ้น124%อย่างไรก็ตามต้องรณรงค์เชิญชวนให้ทุกครอบครัวเกิดแนวความคิด“เปิด ปรับ เปลี่ยน”เพื่อยุติความรุนแรง เพราะจากสถิติดังกล่าว เด็กจำนวนมากที่เติบโตในครอบครัวที่มีความขัดแย้ง สภาพแบบนี้ทำร้ายจิตใจเด็ก ซึ่งหากมองในมุมหนึ่งจะพบว่าความรุนแรงในครอบครัวเหล่านี้มีสภาพเสมือนโรคติดเชื้อกระโดดจากพ่อแม่ไปสู่ลูกและไปสู่รุ่นต่อๆไปไม่สิ้นสุด เด็กจะรู้สึกเจ็บปวด จนชาชิน มองเห็นความรุนแรงเป็นเรื่องธรรมดา และใช้ความรุนแรงในการแก้ไขปัญหาเมื่อเติบโตขึ้น รวมถึงการดื่มเหล้าเบียร์หรือเล่นการพนันจะเพิ่มโอกาสก่อความรุนแรงในครอบครัวเพิ่มขึ้นอีก


นางน้อย(นามสมมติ)อายุ45ปี ผู้ที่เคยประสบปัญหาความรุนแรงในครอบครัว กล่าวว่า ก่อนหน้านี้อยู่กินกับสามีมากว่า20ปี สามีไม่เคยทำร้ายร่างกาย แต่พอเขาเริ่มสังสรรค์ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทำให้พฤติกรรมเปลี่ยนไป เช่น หึงหวงกล่าวหาว่ามีชู้ โมโหร้ายพูดหยาบคาบ ชอบดุด่าต่อหน้าลูก ถูกทุบตีหลายครั้ง รุนแรงที่สุดคือ พอเมาเหล้าก็เดินเข้ามาทำร้ายร่างกายใช้สายไฟมัดมือและใช้โซ่ลาม ใช้เข็มขัดและไม้แขวนเสื้อตีบริเวณลำตัว ใช้ความรุนแรงและบังคับหลับนอน ปัญหาที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อลูกชายคนเล็กโดยตรงเพราะอยู่ในเหตุการณ์ความรุนแรงและเข้ามาห้ามทุกครั้ง ลูกชายเริ่มมีพฤติกรรมโกรธเก็บตัวเงียบ ทำลายข้าวของ ติดเกมส์ การเรียนต่ำลง


“ช่วงนั้นต้องทนทุกข์ทรมานทั้งร่างกายและจิตใจ หวาดผวา กลัวไปทุกอย่าง สุขภาพจิตก็แย่ เคยคิดฆ่าตัวตายหลายครั้ง เมื่อเกิดเรื่องก็เข้าแจ้งความไว้ที่สถานีตำรวจนับ10ครั้งและปรึกษากับทางมูลนิธิหญิงชายก้าวไกลให้เอาผิดตามกระบวนการทางกฎหมาย เมื่อคดีสิ้นสุดก็ได้แยกทางกันและอดีตสามีก็รับผิดชอบค่าเลี้ยงดูบุตร อย่างไรก็ตาม ฝากไปถึงผู้หญิงที่ต้องเผชิญปัญหาแบบนี้ให้ไตร่ตรองคิดให้รอบคอบ การทนอยู่ในสภาพแบบนี้เพื่อครอบครัว แต่สุดท้ายแล้วเราจะไม่มีความสุขลูกก็จะไม่มีความสุข ซึ่งมันยังไม่สายที่จะทบทวน ตอนนี้ตั้งใจจะดูแลลูกให้ดีที่สุด และขอให้นำบทเรียนของตนเองเป็นอุทาหรณ์เพื่อใช้เตือนสติ”นางน้อย กล่าว


นายเอ (นามสมมติ) อดีตผู้ที่เคยใช้ความรุนแรงในครอบครัว กล่าวว่า ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวเกิดขึ้นหลังจากเลิกเสพยาหันมาดื่มเหล้า เริ่มดื่มหนักพอเมาก็มักจะใช้ความรุนแรงกับภรรยาทั้งโมโหร้าย ทำร้ายร่างกายตบตี นอกจากนี้ยังมีปัญหาเรื่องงาน มีหนี้สิน เกิดความเครียดสะสม ทำร้ายร่างกายภรรยาจนต้องหอบเสื้อผ้าหนีไปอยู่บ้านแม่ ซึ่งการใช้ความรุนแรงส่งผลต่อลูกโดยตรง ลูกอยู่ในเหตุการณ์เห็นพ่อทำร้ายแม่ บางครั้งพลาดเตะไปโดนลูกขณะเข้ามาห้าม ลูกร้องไห้ตลอด กลายเป็นคนกลัวพ่อ หวาดระแวงกลัวพ่อทำร้ายแม่ และกลัวตัวเองถูกทำร้าย ลูกไม่กล้าเข้าใกล้ นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบทำให้ลูกมีพฤติกรรมก้าวร้าว ใช้คำพูดรุนแรงกับเพื่อน หยาบคายด่าทอเพื่อน มีปัญหาด้านการเรียน ทะเลาะกับเพื่อนจนถูกเชิญผู้ปกครอง


“เมื่อเริ่มคิดได้ จึงปรับเปลี่ยนตัวเอง เริ่มลดละเลิกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยอมรับความผิดพลาด พยายามเปลี่ยนแปลง ช่วยงานบ้านภรรยา ตอนนี้ครอบครัวมีความสุข ตอนเช้าออกไปทำงาน เย็นช่วยงานภรรยา และไปรับลูกที่โรงเรียน กินข้าวด้วยกันพร้อมหน้า เราสนิทกันมากขึ้น ซึ่งถ้าไม่ปรับตัว ความรุนแรงที่เราทำให้ลูกเห็น ลูกอาจจะนำพฤติกรรมแบบนี้ไปทำกับคนอื่นและถ้าเรายังวนเวียนอยู่กับขวดเหล้า เชื่อว่าโตขึ้นลูกก็คงไม่พ้นโตเป็นวัยรุ่นขี้เมาเป็นแน่”นายเอ กล่าว


 


 


ที่มา:หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์


ภาพประกอบจากเว็บไซต์โพสต์ทูเดย์

Shares:
QR Code :
QR Code