ประเด็นน่ารู้ จากเหตุการณ์ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2008
ประเด็นน่ารู้จากเหตุการณ์ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2008
การจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 2008 ณ กรุงปักกิ่ง ครั้งนี้มีประเด็นน่ารู้ หรือควรรู้ ที่ไม่มีการเสนอจากการรายงานข่าวการแข่งขันทางสื่อมวลชนทั่วไป ซึ่งเป็นประเด็นความรู้เชิงวิทยาศาสตร์การกีฬา หรือการบริหารจัดการที่เกี่ยวข้องกับการกีฬา ที่ไม่ได้ลึกลับซับซ้อนมากนัก ท่านผู้อ่านสามารถเข้าใจได้ไม่ยาก และเมื่อรู้แล้วจะเป็นประโยชน์ต่อท่านทั้งในแง่การช่วยให้ดูการถ่ายทอดการแข่งขันกีฬาเข้าใจมากขึ้น บางประเด็นอาจเป็นประโยชน์ที่จะนำความรู้ที่คณะผู้เขียนจะได้นำมาเสนอนี้ เพื่อช่วยให้ท่านผู้อ่านมีความเข้าใจสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับความเป็นไปในแวดวงกีฬาของประเทศไทย และเพื่อเป็นการเปิดประเด็นให้มีการถกเถียงกันให้เกิดความแตกฉานในเชิงความรู้ด้านวิทยาศาสตร์การกีฬา และการบริหารจัดการเพื่อการยกระดับมาตรฐานการกีฬาของไทย รวมทั้งบางประเด็นอาจจะเป็นประโยชน์ต่อการนำมาประยุกต์ใช้ในการออกกำลังกายหรือเล่นกีฬาเพื่อสุขภาพของตัวท่านและคนรอบข้างได้บ้าง โดยจะได้นำประเด็นที่เกิดขึ้นแล้วจริงๆตั้งแต่ก่อนการแข่งขัน ระหว่างการแข่งขัน แม้กระทั้งประเด็นที่เกิดขึ้นหลังการแข่งขันเสร็จสิ้นลงแล้ว มาเสนอตามลำดับดังต่อไปนี้
ประเด็นว่าด้วย การปรับสภาพร่างกายของนักกีฬาให้เคยชินกับสภาพภูมิอากาศของสถานที่แข่งขัน ก่อนถึงการแข่งขันจริง (acclimatization) ในกรณีโอลิมปิก 2008 ซึ่งทำการแข่งขัน ณ กรุงปักกิ่ง ครั้งนี้ นักกีฬาจากชาติต่างๆ โดยเฉพาะจากประเทศในทวีปอเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ แอฟริกา และยุโรป ต้องการมีเวลามาฝึกเบาๆในสภาพภูมิอากาศที่เหมือนกรุงปักกิ่ง หรืออย่างน้อยก็ใกล้เคียง เป็นระยะเวลาสั้นๆประมาณ 1-2 สัปดาห์ เพื่อปรับสภาพร่างกายให้เข้ากับลักษณะอากาศของกรุงปักกิ่ง ซึ่งย่อมจะมีอุณหภูมิ และความชื้น ที่แตกต่างไปจากที่นักกีฬาเคยชินในบ้านของตนเอง รวมถึงต้องการปรับร่างกายอันเนื่องจากเวลาที่แตกต่างกันระหว่างกรุงปักกิ่ง ซึ่งเวลาจะต่างจากยุโรป ประมาณ 8 ชั่วโมง และต่างจากประเทศในทวีปอเมริกาเหนือและใต้ ประมาณ 12-14 ชั่วโมง แล้วแต่ว่าจะเทียบเวลากับตำแหน่งใดในทวีปนั้นๆ และยิ่งถ้ามีความแตกต่างในเรื่องของความสูงจากระดับน้ำทะเล (high altitude) ของพื้นที่ที่เป็นสนามแข่งขัน ซึ่งจะมีผลต่อความหนาแน่นของปริมาณออกซิเจน (o2)ในอากาศที่เบาบางกว่าปรกติ (เช่น บนยอดดอยอินทนนธ์ จ.เชียงใหม่ จะมีปริมาณออกซิเจนเบาบางกว่า ที่ระดับพื้นราบ ทำให้เหนื่อยง่าย และอาจถึงขั้นเป็นอันตรายจากการขาดออกซิเจนได้) ก็ยิ่งต้องการการฝึกซ้อมเพื่อการปรับสภาพของนักกีฬาให้เคยชินกับสภาพอากาศที่มีปริมาณออกซิเจนที่เบาบางเช่นนั้นเป็นพิเศษ กรณี กรุงปักกิ่ง ไม่ได้อยู่บนระดับความสูงจากระดับน้ำทะเล จนถึงขั้นที่จะเป็นปัญหาเรื่องปริมาณออกซิเจนเบาบางดังกล่าว แต่ก็มีปัญหาสภาพอากาศร้อนชื้น และเวลาซึ่งเร็วกว่าประเทศทางตะวันตกหลายชั่วโมง ในรอบวัน
การฝึกเพื่อปรับสภาพร่างกายนี้ถ้าจะให้ดีที่สุดคือต้องเข้าไปฝึกในกรุงปักกิ่งเลยทีเดียว แต่โดยปรกติเจ้าภาพจะไม่ยอมให้ทำเช่นนั้น ดังนั้นนักกีฬาจากทวีปยุโรป แอฟริกา อเมริกาเหนือ และอเมริกาใต้ จึงเข้ามาพักและฝึกเบาๆอยู่ในประเทศที่ใกล้จีนที่สุดก่อนเดินทางต่อไปยังกรุงปักกิ่งก่อนวันเปิดการแข่งขัน เพียง 2-3 วัน และปรากฏว่านักกีฬาจากประเทศเหล่านั้นเลือกที่จะเข้ามาฝึกอยู่ในประเทศสิงค์โปร์ และมาเลย์เซีย มากที่สุด ซึ่งนั่นหมายถึงสิงค์โปร์และมาเลเซีย ได้เงินจากทีมกีฬาจากประเทศเหล่านั้นเป็นค่าเช่าสนาม และยังมีค่าโรงแรม อาหาร และอื่นๆที่ทีมกีฬาจะต้องนำเงินเข้ามาใช้จ่ายระหว่างเข้ามาพักฝึกแม้เพียงระยะสั้นๆนี้ แต่ไม่ปรากฏว่ามีนักกีฬาจากชาติใดเข้ามาพักฝึกเพื่อเหตุผลนี้ในประเทศไทย
ประเด็นที่นำมาเสนอเป็นประเด็นแรกนี้ เป็นทั้งความรู้ทางวิทยาศาสตร์การกีฬา และการจัดการธุรกิจการกีฬา จึงต้องทิ้งท้ายเป็นคำถามว่า ประเทศไทย (โดยองค์กรใดก็ตามที่เกี่ยวข้อง) ได้มีการเสนอขาย acclimatization package ให้แก่ทีมกีฬาจากกลุ่มประเทศในทวีปอเมริกาเหนือและใต้ ยุโรป และแอฟริกา ก่อนหน้าที่จะถึงกำหนดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ณ กรุงปักกิ่ง ครั้งนี้หรือไม่? (เมื่อรู้ว่าเป็นความต้องการของทีมกีฬาจากประเทศเหล่านั้นอย่างแน่นอนอยู่แล้ว) หรือถ้าได้มีการเสนอขาย package นี้ออกไปแล้ว เหตุใดทีมกีฬาจากประเทศเหล่านั้นจึงไม่เลือกที่จะซื้อของเรา แต่ไปซื้อของสิงค์โปร์ และมาเลเซีย ผลกระทบต่อประเทศไทยในประเด็นนี้ คือ เราเสียโอกาสที่จะได้เงินในส่วนนี้ไปอย่างน่าเสียดาย เพราะถ้าได้เงินจำนวนนี้มาก็อาจจะนำมาสมทบ “กองทุนพัฒนากีฬา” และนำมาเป็นเงินรางวัลเพิ่มให้แก่นักกีฬาที่ได้เหรียญรางวัลจากโอลิมปิก 2008 ครั้งนี้ได้อีกจำนวนไม่น้อย
เสนอประเด็น โดย : ดร.เกษม นครเขตต์
update 19-08-51