ประกาศปี60 ผัก-ผลไม้ปลอดพิษ

ที่มา : เว็บไซต์ไทยโพสต์


ประกาศปี60 ผัก-ผลไม้ปลอดพิษ thaihealth


แฟ้มภาพ


สธ.เผยเจาะเลือดเกษตรกรตรวจหาสารเคมีปี 59 พบอยู่ระดับ 37% เพิ่มสูงกว่าช่วงปี 55-59 ที่ตรวจเจอ 33% "หมอปิยะสกล" ประกาศ ปี 2560 เป็น “ปีแห่งการบริโภคผัก-ผลไม้ปลอดภัย” ผนึกกำลัง ก.เกษตร-สสส.ดูแลการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำ-ปลายน้ำ ด้าน "อย." เพิ่มรายชื่อสารเคมีครอบคลุมตามมาตรฐานสากล ยกระดับสถานที่ผลิต คัดและบรรจุให้มีระบบประกันคุณภาพ สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ ส่วน สธ.ประกาศ รพ.ในสังกัดพันแห่งใช้อาหารปลอดสารพิษ


          วันที่ 23 มกราคม 2560 ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการ สธ. พร้อมด้วย นพ.เสรี ตู้จินดา ประธานคณะที่ปรึกษา รมว.สธ. และภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันประกาศให้ปี 2560 เป็นปีแห่งการบริโภคผัก-ผลไม้ปลอดภัย โดย นพ.ปิยะสกลกล่าวว่า องค์การอนามัยโลกแนะนำให้มีการบริโภคผักและผลไม้วันละ 400 กรัม ปริมาณที่เพียงพอเป็นประจำ และจะช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ได้แก่ หัวใจขาดเลือด ร้อยละ 31 เส้นเลือดในสมองตีบ ร้อยละ 19 ลดอัตราการป่วยและเสียชีวิตจากมะเร็งกระเพาะอาหาร ร้อยละ 19 มะเร็งปอด ร้อยละ 12 มะเร็งลำไส้ใหญ่ ร้อยละ 2 เป็นต้น และจากการสำรวจสุขภาพประชาชน ครั้งที่ 5 ระหว่างปี 2557-2558 ใน 21 จังหวัด พบคนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไป มีเพียง 1 ใน 4 เท่านั้นที่รับประทานผักและผลไม้อย่างเพียงพอ


          จากผลการคัดกรองความเสี่ยงได้ทำการเจาะเลือดกลุ่มเกษตรกรที่เป็นผู้สัมผัสสารเคมีกำจัดศัตรูพืช ของสำนักโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม กรมควบคุมโรค เฉลี่ย 5 ปีย้อนหลังตั้งแต่ปี 2555-2559 อยู่ที่ร้อยละ 33 และในปี 2559 อยู่ที่ร้อยละ 37 จะเห็นได้ว่าเกษตรกรมีความเสี่ยงและไม่ปลอดภัยจากการสัมผัสสารเคมีสูงขึ้น เนื่องจากมีการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชในผักและผลไม้มากขึ้น ทำให้ผัก-ผลไม้ที่ขายในท้องตลาดมีสารเคมีตกค้างเพิ่มขึ้นด้วย


          นพ.ปิยะสกล กล่าวอีกว่า จากการประชุมหารือร่วมกัน ทั้ง สธ. โดย อย. กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ สสส. มีมติร่วมกันว่า ในปี 2560 ให้เป็นปีแห่งการบริโภคผัก-ผลไม้ปลอดภัย โดยมีการกำหนดขั้นตอนการดำเนินการต่างๆ โดย สธ.จะร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ สสส.บูรณาการพัฒนาระบบห่วงโซ่การผลิตผักและผลไม้สดปลอดภัยตั้งแต่ต้นน้ำ โดยกระทรวงเกษตรฯ จะควบคุมและลดปริมาณการใช้สารเคมีจากผู้ผลิตต้นทาง กลางน้ำ ส่วน อย.มีมาตรการทางกฎหมาย โดยการปรับจำนวนรายการและค่าปริมาณสารพิษตกค้างสูงสุด ให้ครอบคลุมและสอดคล้องมาตรฐานสากล พัฒนาและยกระดับให้สถานที่ผลิต (คัดและบรรจุ) ผักและผลไม้สดมีระบบประกันคุณภาพ รวมถึงการบ่งชี้รุ่นการผลิตเพื่อการตามสอบย้อนกลับ ส่วนปลายทาง ร่วมกับ สสส.ประสานเครือข่ายผู้ผลิต และสื่อสารองค์ความรู้ให้ผู้บริโภค เพื่อเข้าถึงผักและผลไม้สดที่มีคุณภาพและความปลอดภัย นอกจากนี้ยังมีการจัดตั้งศูนย์ความปลอดภัยอาหาร ทำงานร่วมกับสถาบันอุดมศึกษา สสส. เพื่อให้มีฐานข้อมูลอาหารปลอดภัยที่เป็นชุดเดียวกัน รวมถึงข้อมูลความรู้ใหม่ๆ ที่เกิดจากการบริโภคเพื่อป้องกันความเสี่ยงทางสุขภาพ


ประกาศปี60 ผัก-ผลไม้ปลอดพิษ thaihealth


          ส่วนทางด้าน สธ. รมว.สธ.กล่าวว่า สธ.ได้ให้โรงพยาบาลในสังกัดกว่า 10,000 แห่ง ปรุงผักปลอดสารพิษให้ผู้ป่วยรับประทาน โดยผักเหล่านี้ต้องมาจากเกษตรกรโดยตรง ซึ่งได้ดำเนินการไปแล้ว 16 แห่ง อาทิ นครปฐม เชียงราย ตรัง ฯลฯ ก่อนขยายให้ครบทั้งหมด ขณะที่ รพ.สังกัดมหาวิทยาลัยก็จะขอความร่วมมือเช่นกัน


          นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย รองปลัด สธ. กล่าวว่า สำหรับโรงพยาบาลที่เข้าร่วมผักปลอดภัยนั้นจะแบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ 1.กลุ่มที่พร้อมดำเนินการและสามารถเดินหน้าได้เลยในเดือน มิ.ย. มี 16 แห่ง 2.กลุ่ม รพ.ขนาดใหญ่อีก 100 แห่ง และ 3.โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรค (รพ.สต.) และ รพ.ในสังกัดมหาวิทยาลัยต่างๆ คาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ภายในปี 2561


          นพ.วันชัย สัตยาวุฒิพงศ์ เลขาธิการ อย. สำหรับการควบคุมการใช้สารเคมีในผักก็มีกฎหมายควบคุมมาโดยตลอด ซึ่ง อย.ก็ได้ร่วมกับกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กรมอนามัย และหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ลงไปตรวจสอบกลุ่มเกษตรกรอยู่เรื่อยๆ หากมีการตรวจเจอก็มีการปรับจำนวนเงิน มากน้อยขึ้นอยู่กับปริมาณสารเคมีที่พบ แต่สิ่งที่พบคือ ทำให้สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายในการลงไปตรวจสอบ เพราะก็พบเรื่อยๆ ดังนั้นเห็นว่าการที่ประกาศให้ปี 2560 จะเป็นปีแห่งผัก-ผลไม้ปลอดภัย จึงควรมีการปรับวิธีการแก้ไขปัญหาด้วยการส่งเสริมให้ความรู้กับกลุ่มเกษตรกร และทำความเข้าใจกับผู้ผลิตในการปลูกด้วยวิธีธรรมชาติ ที่ลดการใช้สารเคมีหรือใช้ให้น้อยที่สุด เพื่อลดอันตรายต่อผู้บริโภค อย่างไรก็ตาม ตัวผู้บริโภคเองก็ต้องระมัดระวังในการเลือกซื้อด้วย


          สำหรับผู้บริโภคสามารถลดการตกค้างของสารเคมีในผักและผลไม้ด้วยการล้างน้ำไหลผ่านน้ำนาน 2 นาที วิธีการนี้จะช่วยลดสารพิษได้ร้อยละ 25-65 ถ้าหากการใช้น้ำไหลก็อาจสิ้นเปลือง สามารถใช้ทางเลือกอื่นที่เหมาะสม ได้แก่ 1.ล้างด้วยผงฟู หรือเบคกิ้งโซดา โดยผสมผงฟูครึ่งช้อนโต๊ะกับน้ำ 10 ลิตร แช่ผักผลไม้ทิ้งไว้ 15 นาที แล้วล้างด้วยน้ำสะอาด ช่วยลดสารพิษได้ร้อยละ 95 และ 2.ล้างด้วยน้ำส้มสายชู 1 ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำ 4 ลิตร แช่ผักทิ้งไว้ 10 นาที แล้วล้างด้วยน้ำสะอาด จะช่วยลดสารเคมีได้ร้อยละ 60-84 ซึ่งวิธีนี้สามารถใช้ล้างไข่พยาธิในผักสดได้อีกด้วย โดยปริมาณสารพิษตกค้างที่ลดลงจะขึ้นอยู่กับชนิดของสารเคมีและปริมาณผัก-ผลไม้ในแต่ละครั้งของการล้าง.

Shares:
QR Code :
QR Code

ใส่ความเห็น

ระบุข้อความ