ปฏิรูปประเทศไทย
ปัญหาคือผ่าทางตันกลไกรัฐได้หรือไม่
เปิดฉากขึ้นแล้วสำหรับคณะกรรมการปฏิรูปประเทศไทย และคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป หลังจากมีการเคลื่อนไหวต่อเนื่องของภาคประชาสังคมมาโดยตลอด ทั้งคณะกรรมการรณรงค์เพื่อประชาธิปไตย เครือข่ายทางปัญญา สมัชชาสุขภาพแห่งชาติ กลุ่ม 40 ส.ว. สื่อมวลชน พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และแม้แต่การเคลื่อนไหวของเสื้อแดงบางส่วน ก็อาจนับเนื่องส่งผลนำสู่การปฏิรูปประเทศไทยด้วย
แนวโน้มที่พึงระวังอย่างยิ่งก็คือ การวาดภาพแห่งความมุ่งหวังว่า คณะกรรมการทั้งสองชุดดังกล่าวจะต้องเป็นผู้วิเศษที่จะเสกเป่าให้ประเทศไทยเป็นสวรรค์บนดินที่ประชาชนอยู่ดีกินดีมีความสุข จะปัดเป่าทุกข์ให้ละลายหาย จะทำให้สิ่งที่เรียกว่าสองมาตรฐานสลายไป โดยเห็นว่าบรรดาคณะกรรมการทั้งสองชุดล้วนเป็นยอดฝีมือจากแวดวงต่างๆ ที่มากด้วยความสามารถในระดับเอกอุทั้งนั้น ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงแล้วคณะกรรมการปฏิรูปประเทศไทย ที่มีนาย อานันท์ ปันยารชุน เป็นประธาน มีหน้าที่คิดและประมวลทำให้เกิดผลึกทางยุทธศาสตร์ต่อปัญหาประเทศชาติ ขณะที่คณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป ที่มี ศ. นพ.ประเวศ วะสี เป็นประธาน มีหน้าที่เปิดเวทีสาธารณะให้พื้นที่ต่อพลังปัญญาของผู้คนที่มีลักษณะตัวแทนของทุกวงการ ทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันจนสามารถหาข้อยุติในด้านต่างๆ ได้
บทสรุปทั้งทางยุทธศาสตร์ คือทิศทางในภาพรวม และในทางยุทธวิธี คือบทปฏิบัติจะเป็นผล จะได้ผลบางส่วน หรือจะไร้ผล รวมศูนย์ชี้ขาดที่กลไกรัฐจะรองรับได้อย่างเป็นจริงเพียงไร
ถ้ากระบวนการยุติธรรมต้นทาง คือตำรวจเข้าเกียร์ว่าง หรือเข้าเกียร์ถอยหลัง ในคดีความต่างๆ เราจะเปลี่ยนสิ่งที่เรียกว่าสองมาตรฐาน ให้เป็นความเสมอภาคมาตรฐานเดียวได้ละหรือ
สมมติว่าคณะกรรมการปฏิรูปมีบทสรุปทางยุทธวิธีด้านยุทธศาสตร์พลังงานว่า จะต้องทวงคืน ปตท. จากทุนในตลาดหลักทรัพย์ให้กลับมาเป็นสมบัติของประชาชนในรูปของรัฐวิสาหกิจ เช่นนี้แล้ว กระทรวงการคลังและรัฐบาลจะทำอย่างไร ในเมื่ออ้อยเข้าปากช้างจนย่อยสลายกลายเป็นเนื้อเยื่อในเนื้อในตัวช้างแล้ว
เรื่องรถเมล์ใช้ก๊าซแอลจีวี 4,000 คันล่ะ ผลประโยชน์ของพรรคการเมือง กับผลประโยชน์ของชาติยังชักเย่อกันอยู่จนหาจุดจบได้ยาก
อย่าว่าแต่อะไรอื่นเลย ร่าง พ.ร.บ.จัดสรรคลื่นความถี่กิจการวิทยุโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม สู้รบกันมาตั้งแต่ปี 2543 ควรจะจบลงได้อย่างดีพอควร แต่ก็ถูกวุฒิสภาปรับแก้ประเด็นจำนวนกรรมการจากเดิมในชั้นสภาผู้แทนราษฎรที่กำหนดให้มี 11 คน ให้เพิ่มเป็น 15 คน มองผ่านๆ เหมือนต้องการให้มีคนช่วยทำงานมากขึ้น แต่วาระซ่อนเร้นคือแรงกดดันจากฝ่ายความมั่นคงและฝ่ายธุรกิจทีวีบันเทิงที่ต้องการรักษาพื้นที่ผลประโยชน์ของตนที่มีเค้าลางว่าจะต้องสูญเสียไปจากที่เคยมีเคยได้อยู่เดิม ทำให้ต้องตั้งกรรมาธิการร่วมสองสภาอีกยกหนึ่งเพื่อหาข้อยุติ
สี่ตัวอย่างที่ว่ามานี้ แสดงให้เห็นว่าปัจจัยชี้ขาดที่จะก่อให้เกิดผลทางปฏิบัติไม่ใช่อยู่ที่คณะกรรมการทั้งสองชุดนี้ แต่อยู่ที่กลไกรัฐจะรองรับได้แค่ไหนเพียงไร
จึงขอเสนอต่อคณะกรรมการทั้งสองชุดดังนี้1.คณะกรรมการปฏิรูปประเทศไทย ซึ่งทำงานคู่ขนานกันไปกับสมัชชาปฏิรูปประเทศไทย ควรมีบทสรุปที่เป็นข้อยุติระยะใกล้ ที่สามารถปฏิบัติได้ทันทีออกมาเป็นระยะที่ประชาชนสามารถสัมผัสได้ เช่น ปัญหาปากท้อง ปัญหาหนี้สินนอกระบบ ปัญหาที่ดิน ปัญหาคดีความที่คนยากคนจนซึ่งทำกินมาก่อนในที่ดินแต่ถูกคุกคามด้วยอำนาจรัฐและอำนาจทุน จนชาวบ้านกลายเป็นผู้ต้องหาถูกดำเนินคดีในหลายพื้นที่ ข้อยุติแบบนี้รัฐบาลจะต้องรับลูกอย่างฉับพลัน หากคณะกรรมการมีแต่ผลศึกษาที่ไม่ตอบสนองความต้องการเฉพาะหน้าของประชาชน หรือรัฐบาลมัวเข้าเกียร์ว่างไม่นำสู่การปฏิบัติในทันทีทันใด เวลาที่ทอดยาวออกไปโดยไม่เกิดรูปธรรมใดๆ จะกลายเป็นปัญหาของคณะกรรมการเอง
แม่สมปอง เวียงจันทร์ ชาวบ้านที่เป็นแกนนำสมัชชาคนจนกรณีเขื่อนปากมูล เป็นหนึ่งในคณะกรรมการปฏิรูปประเทศไทย พูดเปรียบเทียบไว้ “ในการประชุมครั้งแรก (ศุกร์ 9 ก.ค.53) แม่ได้เสนอต่อที่ประชุมโดยยกตัวอย่างการต่อสู้ในปัญหาเขื่อนปากมูลว่า หากเปรียบคณะกรรมการเหมือนเรือที่นำคนป่วยไปหาหมอ มีทั้งคนไม่ป่วย คนป่วย และคนป่วยหนัก ต้องนำคนป่วยหนักไปหาหมอก่อน ถ้าคนเห็นว่าคนป่วยหนักไปรับการรักษาจากหมอจนหายป่วยได้ เกิดรูปธรรมขึ้นมา การสนับสนุนของสังคมก็จะเกิดขึ้น” (จาก นสพ.กรุงเทพธุรกิจ ฉบับ 11 ก.ค.53 หน้า 2)
2.หลีกไม่พ้นที่ บทสรุปของคณะกรรมการจะต้องไปกระทบปัญหาเชิงโครงสร้างใหญ่ เช่นต้องไปปรับรื้อระบบราชการที่ปฏิรูปแล้วแต่ยังล้าหลัง เช่นปฏิรูปการศึกษา เช่นต้องไปแก้ไขสาระสำคัญในรัฐธรรมนูญ เช่นต้องไปเลิกกฎหมาย แก้ไขหรือเสนอกฎหมายใหม่หลายฉบับ ซึ่งเป็นเรื่องต้องใช้เวลายาวนาน ต้องยืนต้านกับแรงเสียดทานมาก และยากที่จะผ่าทางตันได้ เช่น กฎหมายภาษีมรดก กฎหมายภาษีทรัพย์สิน กฎหมายป่าชุมชน รัฐบาลจะทำอย่างไร
ผลผลิตของคณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์ (กอส.) กรณีปัญหา 3 จังหวัดภาคใต้ ชุดที่นายอานันท์ ปันยารชุน เป็นประธาน ไม่เกิดผลในทางปฏิบัติเมื่อปี 2547 ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผลสรุปไปกระทบปัญหาเชิงโครงสร้าง แต่ส่วนสำคัญยังเป็นเพราะข้อยุติไปคุกคามสถานะ
ของคนที่แต่งตั้งคณะกรรมการชุดนั้นขึ้นมานั่นเอง
ทางออกของปัญหานี้ อาจต้องร่วมกันคิดร่วมกันทำด้วยการบูรณาการคณะกรรมการอีก 3 คณะ คือ คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความเป็นจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ ชุด นายคณิต ณ นคร เป็นประธาน คณะกรรมการศึกษาแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ชุด ดร.สมบัติ ธำรงธัญวงศ์ เป็นประธาน และคณะกรรมการปฏิรูปตำรวจ ชุดที่ พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร เป็นประธาน ควร ต้องบูรณาการคณะกรรมการทั้งสามชุดนี้เข้ากับคณะกรรมการ 2 ชุดดังกล่าว ถ้าหันหน้าคนละทาง ถ้าสร้างดาวคนละดวง แล้วจะมีทิศทางไหนที่ประเทศจะเดินหน้าไปได้อย่างเป็นเอกภาพ
อย่าว่าแต่ปัญหาโครงสร้างหรือกลไกรัฐเลย หากผลสรุปไปกระทบผลประโยชน์ของพรรคการเมืองเข้าด้วยแล้ว เข็นครกขึ้นภูเขายังง่ายกว่า
3.จึงเป็นไปได้ว่าคณะกรรมการ 2 ชุดอาจจะต้องหายุทธวิธีขับเคลื่อนทางการเมืองไปพร้อมกันด้วย กล่าวคือ การรณรงค์ให้เกิดฉันทานุมัติจากประชาชนในประเด็นหลักที่สำคัญยิ่ง เช่น เรื่องภาษีที่ดิน ภาษีมรดก เป็นต้น นักการเมืองเป็นกลุ่มคนที่โยงใยผลประโยชน์มหาศาล ยากที่จะปรับเปลี่ยนได้ด้วยตัวตนของนักการเมืองเอง ประสบการณ์ 40 ปีที่ผ่านมานี้ สะท้อนให้เห็นว่าประชาชนไม่กดดัน นักการเมืองไม่เปลี่ยนแปลง
อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการสองชุดกำลังแบกรับภารกิจทำหน้าที่ให้เกิดการเปลี่ยนผ่านอย่างสันติที่มีนัยสำคัญทางประวัติศาสตร์ ผ่านจุดนี้ไปได้ ประเทศไทยจะก้าวสู่การเปลี่ยนแปลงทางบวกอย่างมีวุฒิภาวะที่โลกจะต้องจับตามองอย่างน่าพิศวง
ที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์
Update: 17-07-53
อัพเดตเนื้อหาโดย: คมสัน ไชยองค์การ