ปฏิรูปคนข่าวให้เป็น’โรงเรียนของสังคม’

ที่มา : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก โดย ขนิษฐา เทพจร


ปฏิรูปคนข่าวสร้างอุดมคติให้ 'สื่อ'เป็น'โรงเรียนสังคม' thaihealth


แฟ้มภาพ


การขับเคลื่อนงานปฏิรูปสื่อมวลชน เดินหน้าภายใต้กรอบคิด "ให้สื่อเป็นโรงเรียนของสังคม" และผลักดันโดย 4 เครือข่าย  ได้แก่ สภาสถาบันนักวิชาการสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย (ส.ส.ม.ท.), สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย, สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)


เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม  กลไกเครือข่ายได้จัดเสวนาเชิงปฏิบัติการ เรื่อง "กระบวนทัศน์ใหม่ สื่อเป็นโรงเรียนของสังคม:แนวคิด หลักการ และแนวทางการพัฒนา" เวทีที่ 3 ส่วนของเครือข่ายสมาคมวิชาชีพสื่อ ภาคกลาง ซึ่งมีตัวแทน นักวิชาการด้านสื่อสารมวลชน-ตัวแทนสื่อมวลชน จากสื่อวิทยุ, ข่าวการเมือง, ข่าวกีฬา, สื่อออนไลน์และตัวแทนภาคประชาชนที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมระดมสมองเพื่อหาแนวทางที่จะเป็นบันได นำไปสู่มิติการปรับบทบาทสื่อ จากสถานะผู้ส่งสาร นำเสนอข่าวสู่สาธารณะ ไปเป็นสถานะของผู้ที่ส่งข้อมูล ข่าวสาร ที่เป็นสาระ และความรู้ ควบคู่กันด้วย


ซึ่งก่อนเวทีระดมสมองจะเริ่มขึ้น จุมพล  รอดคำดี ประธานคณะกรรมการบริหารแผน คณะที่ 5 สสส.  ฐานะกลไกร่วมไตรภาคีคณะกรรมการปฏิรูป ได้ขยายภาพต้นร่างแนวคิด "สื่อเป็นโรงเรียนของสังคม" ไว้ว่า จากเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลง ทำให้กระบวนการสื่อสารมีความหลากหลาย ไม่ถูกจำกัดด้วยเวลาและสถานที่ จึงมีสิ่งที่น่าคิดคือ กระบวนการสื่อสารในสื่อ  ควรจะปรับเปลี่ยนด้วย เพื่อยกระดับองค์ความรู้ไปสู่ประชาชน  ไม่ใช่แค่การนำเสนอข่าวรายวันเท่านั้น หากมองในหน้าที่สื่อปัจจุบัน  ที่เป็นผู้ให้ข้อมูล ข่าวสาร และความบันเทิง แต่ยังขาดการให้ข้อมูลที่เป็นความรู้  ทำให้ประเด็นนี้น่าห่วงว่าอาจนำไปสู่ปัญหาสังคมได้ ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำคือ  ให้การสื่อสารปัจจุบันกลายเป็นองค์ความรู้  ให้ประชาชนได้รับความรู้เพิ่มเติมในด้านต่างๆ เพื่อให้การสื่อสารนำไปสู่สันติสุข  สันติภาพ และการใช้ชีวิตที่มีความสุข"


จากนั้น เข้าสู่การระดมสมองเพื่อหาแนวทางไปสู่เป้าหมาย "สื่อเป็นโรงเรียนของสังคม"  ซึ่งได้ถูกเซตโจทย์-ตั้งคำถามไว้ย่อๆ เพื่อให้ผู้ร่วมโต๊ะแตกไอเดียและต่อยอดความคิด  คำถามแรกต่อบทบาทของสื่อมวลชนต่อจุดเริ่มต้นของโรงเรียนสังคม "ตัวแทนสื่อมวลชน" สะท้อนภาพชัด  คือ ต้องจัดการปัญหาของวิชาชีพสื่อมวลชน ที่ปัจจุบันยังพบว่ามี "สื่อ" ยังเลือกข้าง  และแบ่งฝ่าย เพราะหากจัดการไม่ได้ สื่อจะไม่สามารถเป็นโรงเรียนของสังคมได้แน่นอน  เพราะเมื่อสื่อเลือกข้างแล้ว การนำเสนอข้อมูล ข่าวสาร ตามข้างที่เลือกไว้แล้ว โดยไม่สนใจว่าจะเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับ ประชาชนหรือไม่  นอกจากนั้นแล้วต้องปรับทัศนคติของ "คนข่าว" ที่ต้องนำเสนอข่าวรวดเร็ว แบบทันด่วน  โดยไม่ตรวจสอบข้อเท็จจริง ขณะที่สื่อ สิ่งพิมพ์ ต้องตระหนักถึงภาระหน้าที่อย่างสำคัญและคงจุดยืน แม้ว่าปัจจุบัน "หนังสือพิมพ์-นิตยสาร" ไม่ใช่สื่อหลักที่คนในสังคมเลือกเสพ  หรือเลือกอ่านเหมือนในอดีต เพราะด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนา ทำให้ "ประชาชน"  เลือกเสพข่าวผ่านออนไลน์และเลือกเชื่อข่าวออนไลน์มากกว่าสื่อหนังสือพิมพ์ ดังนั้นการนำเสนอข่าวไม่ใช่ตามกระแสความสนใจของสังคมเท่านั้น


อย่างไรก็ตามจากปัญหาที่สะท้อน  นำไปสู่ข้อเสนอถึงวิธีการ หรือบันไดไต่สู่ฝัน คือ ส่งเสริมการรวมตัว จัดกลุ่ม  จัดระเบียบสื่อ เพื่อให้เกิดการควบคุมหรือตรวจสอบคุณภาพของเนื้อหา ที่เน้นคุณภาพ  ไม่ใช่เน้นที่ความเร็วเหมือนปัจจุบัน  หรืออาจใช้ประเด็นการออกใบอนุญาตประกอบกิจการสื่อมวลชน  ซึ่งประเด็นนี้ต้องผลักดันควบคู่กับแนวทางที่ให้ "เจ้าของสื่อp ผู้บริหารธุรกิจสื่อสารมวลชน" เข้ามามีส่วนร่วมอย่างสำคัญในการรณรงค์และผลักดัน  การดำเนินงานให้เป็นนโยบายของบริษัท เพื่อนำไปสู่การต่อยอดที่สำคัญ คือ การพัฒนาบุคลากรภายในบริษัทให้เป็นคนข่าวที่มีคุณภาพปฏิรูปคนข่าวสร้างอุดมคติให้ 'สื่อ'เป็น'โรงเรียนสังคม' thaihealth


ส่วนแนวทางการสร้างโรงเรียนสังคม ด้วย "สื่อ" ต้องคิดถึงการขยายฐานการให้ความรู้ลงสู่ชุมชนให้มากกว่า  การระดมกำลังจากส่วนเมืองหลวงเท่านั้น


ขณะที่แนวทางของการปฏิบัติจริง ซึ่งถูกจำกัดความไว้ว่า "ให้ความช่วยเหลือ  เพื่อพัฒนาสื่อให้เป็นโรงเรียนสังคม" แนวคิดที่ถูกถ่ายทอด คือ หน่วยงานรัฐ องค์กร  ที่มีกำลัง มีทรัพยากร และงบประมาณ ให้ความร่วมมือสนับสนุนปฏิบัติการของ "สื่อมวลชน" เช่น สสส. หรือบริษัทเอกชนร่วมทำงานภายใต้โครงการซีเอสอาร์  เพื่อขยายฐานการสร้างองค์ความรู้ให้ชุมชน หรือยกให้เป็นพื้นที่สื่อสร้างสรรค์ให้แก่ประชาชนแต่ละพื้นที่เพราะลำพังงบประมาณของท้องถิ่นคงไม่เพียงพอที่จะยกระดับความรู้ของประชาชน รวมถึงต้องต่อยอดการปฏิบัติให้เป็นรูปธรรม ไม่ใช่เป็นเพียงแค่กิจกรรมชั่วคราว ที่คล้ายไฟ ไหม้ฟาง


ทั้งนี้เมื่อส่องความคิด "ให้สื่อเป็นโรงเรียนของสังคม" ถือเป็น 1 ในโมเดลการปฏิรูปการเรียนรู้ ที่กลุ่มไตรภาคีคณะกรรมาธิการปฏิรูป:สื่อ การศึกษา ศิลปะ วัฒนธรรม ศาสนา ในสปช. ที่มี  "เครือข่ายนักวิชาการ-ศิลปิน อาทิ จุมพล รอดคำดี, เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์, สุกัญญา  สุดบรรทัด" อดีตสมาชิก สปช. เป็นกำลังขับสำคัญหลังจากที่เคยรวมพลังเสนอแผนการปฏิรูปด้านสื่อไปแล้วในสภาปฏิรูปฯ  โดย ดร.กันยิกา ชอว์ อาจารย์คณะนิเทศศาสตร์  สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ เผยแผนโมเดลปฏิรูปการเรียนรู้  ว่ามีทั้งสิ้น 5 ด้าน คือ  การศึกษาพลเมือง สร้างโรงเรียนของชาติ, นโยบายภาครัฐ สร้างห้องเรียนชุมชน, สื่อ  สร้างห้องเรียนสื่อ-สร้างสรรค์, ครอบครัว สร้างห้องเรียนครอบครัว และวัฒนธรรม ศาสนา  เพื่อสร้างห้องเรียนทางวัฒนธรรม-ศาสนา


"สำหรับด้านสื่อ ขณะนี้อยู่ระหว่างการระดมความเห็นของสื่อมวลชน นักวิชาการ  และพลเมืองใน 4 ภาค คือ ภาคกลาง  ภาคใต้ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งดำเนินการแล้ว  และเหลือภาคเหนือที่เตรียมจัดเวทีระดมความเห็นเร็วๆ นี้ ซึ่งข้อมูลที่ได้ทั้งหมด  ทางคณะทำงานจะนำมาประมวลเข้าด้วยกันกับทั้ง 4 โมเดล ไม่เกินเดือนกรกฎาคมนี้  เพื่อวิเคราะห์และจัดทำเป็นแผนนโยบาย ส่งต่อให้รัฐบาล ซึ่งระยะเวลาที่ทำงานนั้นจะทันการณ์กับการนำไปปฏิบัติภายใต้รัฐบาลปัจจุบันหรือไม่  ถือว่าตอบยาก แต่เชื่อว่าแผนนโยบายที่จะถูกถ่ายทอด  ซึ่งผ่านการรับฟังความเห็นของทุกภาคส่วนของสังคม  นั่นจะเป็นแรงกดดันให้แผนนโยบายนำไปสู่การปฏิบัติได้จริง" ดร.กันยิกา  ระบุปิดท้าย

Shares:
QR Code :
QR Code