 
  ปฏิญญาสุขภาวะ ร่วมสร้างไทยให้น่าอยู่
สโลแกนสั้นๆ “เลิกเหล้า …เลิกจน” “งดเหล้าเข้าพรรษา” “คุณมาทำร้ายฉันทำไม” “แค่ขยับ…เท่ากับออกกำลังกาย” “เมาแล้วขับ ถูกจับแน่” ล้วนเป็นที่จดจำ ในโครงการรณรงค์ให้คนไทย เปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ
 จากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ที่เดินหน้ามาจนวันนี้เข้าสู่ปีที่ 12 แล้ว
จากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ที่เดินหน้ามาจนวันนี้เข้าสู่ปีที่ 12 แล้ว
งานส่งเสริมสุขภาพเพื่อป้องกันโรค หรือ สุข ศึกษา เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองไทยมาเป็นเวลานาน หากเท้าความก็เป็นสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่ประเทศเริ่มพัฒนาในด้านต่างๆ มีการส่งเสริมให้คนไทยรู้จักการกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ อาบน้ำ ฟอกสบู่ ใช้ยาสีฟันแปรงฟัน เป็นต้น
จนถึงปัจจุบันโรคติดต่อที่เกิดจากการ ติดโรคต่างๆ กลายเป็นปัญหาสำคัญรองลงมาจากโรคไม่ติดต่อที่เกิดจากพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป ความเครียดเพิ่มขึ้นอย่างไม่รู้ตัว ซึ่งเมื่อพิจารณาสถิติการเกิดโรค ก็พบข้อมูลที่สอด คล้องกัน ว่าคนไทยตายและป่วยด้วยโรคไม่ติดต่อจำนวนมาก ทั้งโรคหัวใจ มะเร็ง เบาหวาน ไต หรืออุบัติเหตุ เป็นต้น
งานรณรงค์เพื่อเปลี่ยนพฤติกรรมทางสุขภาพแม้ว่าจะมีหน่วยงานอย่าง กระทรวงสาธารณสุข ทำหน้าที่อย่างแข็งขัน แต่ก็พบว่าความคล่องตัวในการทำงานมีน้อยเนื่องด้วยปัจจัยจากระเบียบต่างๆ และเพราะงานรณรงค์เป็นเรื่องที่ไม่สามารถทำได้เพียงลำพัง ต้องอาศัยความร่วมมือหลายๆ หน่วยงานทั้งรัฐ เอกชน ประชาชน จึงจะมีพลังเคลื่อนไปข้างหน้าได้
สิ่งที่ สสส. ขับเคลื่อนมาโดยตลอด เริ่มจากแนวคิดการใช้ภาษีจากสินค้าทำลายสุขภาพอย่างเหล้า บุหรี่ ร้อยละ 2 กลับมาทำให้ประชาชนลด ละ เลิก ปัจจัยเสี่ยงต่อสุขภาพ เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายทางสุขภาพโดยรวมของประเทศลง จากเหล้า บุหรี่ อุบัติเหตุ
จากนั้นภาระงานของ สสส. ก็ขยายต่อไปที่สุขภาพด้านอื่นๆ เพราะการจะมีสุขภาวะดี ไม่ใช่แค่กาย แต่ยังต้องส่งเสริมกิจกรรมทุกด้าน ทั้งกาย จิต สังคม ปัญญา งานของ สสส. จึงขยายออกไปจนครบทุกด้าน กลายเป็นน้ำมันหล่อลื่นสำคัญให้กลุ่มคนทั่วประเทศได้ทำงานเพื่อส่งเสริมสุขภาวะในแง่มุมต่างๆ
ในเวที “สานงาน เสริมพลัง ร่วมสร้างประเทศไทยให้น่าอยู่” เป็นการรวมงานสร้างสรรค์ที่ภาคีเครือข่าย 19,042 ราย ได้สานสร้างมาตลอด 12 ปี เอามาพูดคุย หารือ เพื่อวางแผนเดินหน้าทำงานด้านสุขภาพต่อไปวันข้างหน้า โดยภายในงานมีคนทำงานด้านสุขภาพกว่า 300 องค์กร ราว 5,000 คน มารวมตัวกัน เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์
โดยมีการเปิดห้องย่อยเสวนาในหัวข้อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการกลั่นกรองการทำงาน การเปิดเผยผลการทำงานในรอบ 12 ปีที่ผ่านมา และการวางแผนไปในอนาคต การเปิดแสดงความเห็น โดยเปิดให้มีการแสดงทรรศนะของนักวิชาการสาธารณสุขทั้งไทย และต่างชาติ เพื่อเดินไปข้างหน้าร่วมกัน และนำเสนอนวัตกรรมสร้างสุข ผ่านตลาดนัดสร้างแรงบันดาลใจ หรือ market place
อาทิ ห้องเรียนความมืด ทดลองใช้ชีวิตในโลกมืดเวลาสั้นๆ เพื่อให้คนทั่วไปได้เรียนรู้และเข้าใจการใช้ชีวิตของ ผู้พิการทางสายตา, โรงภาพยนตร์แห่งแรงบันดาลใจ ถ่ายทอดเรื่องราวทางสังคมจากคนทุกกลุ่ม โดยพิธีกรจากรายการสารคดีข่าว อาทิ คนค้นฅน ข่าวสามมิติ วิตามินข่าว ห้องเกมโชว์ทราบแล้วเปลี่ยน ลานนานานวัตกรรม เป็นต้น และถนนแห่งนิทรรศการ รวบรวมผลงานเด่นที่ขับเคลื่อนสังคมอย่างเป็นรูปธรรมและผ่านการทำจริงๆ
ศ.นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส กล่าวในปาฐกถานำเรื่อง “นวัตกรรมทางสังคมกับการพัฒนาประเทศ” ว่า พลเมืองที่รวมตัวกันจะทำให้เกิดพลัง การทำงานของ สสส. ใน 12 ปีที่ผ่านมา เป็นการสร้างเครื่องมือที่เป็นต้นแบบนวัตกรรมทางสังคม ทำให้เกิดพื้นที่ทางสังคมและพื้นที่ทางปัญญาอย่างกว้างขวางเมื่อปัจจัยชี้ขาดอนาคตของการพัฒนาประเทศอยู่ที่สังคมเข้มแข็ง นวัตกรรมทางสังคม จึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะสังคมที่เข้มแข็งจะขับเคลื่อนเรื่องที่ทำได้ยากไปได้ และกระบวนการเรียนรู้ที่ผู้คนร่วมคิดร่วมทำด้วยกันก็จะพาให้สังคมนั้นดีขึ้น
ทพ.กฤษดา เรืองอารีย์รัชต์ ผู้จัดการกองทุนสสส. กล่าวว่า เวที “สานงาน เสริมพลัง ร่วมสร้างประเทศไทยให้น่าอยู่” เป็นการ รวบรวมภาคีเครือข่ายครั้งใหญ่ในรอบ 12 ปี ที่เปิดโอกาสให้คนทำงานในแต่ละเรื่องได้มาแลกเปลี่ยนความคิดวิธีการทำงาน เช่น งานรณรงค์เหล้า จะอาศัยความเข้มแข็งหรือ ความร่วมมือระดับชุมชนอย่างไร หรือต่อยอดไปรณรงค์ประเด็นด้านอื่นอย่างไร เป็นต้น
รวบรวมภาคีเครือข่ายครั้งใหญ่ในรอบ 12 ปี ที่เปิดโอกาสให้คนทำงานในแต่ละเรื่องได้มาแลกเปลี่ยนความคิดวิธีการทำงาน เช่น งานรณรงค์เหล้า จะอาศัยความเข้มแข็งหรือ ความร่วมมือระดับชุมชนอย่างไร หรือต่อยอดไปรณรงค์ประเด็นด้านอื่นอย่างไร เป็นต้น
การผนึกพลังของภาคีเครือข่ายของ สสส. ถือเป็นการสร้างแนวทางการพัฒนาการสร้างเสริมสุขภาพ ให้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ต่างๆ เพื่อนำไปสู่การทำงานบูรณาการร่วมกันในอนาคต
การเข้ามาร่วมเวทีเดียวกันในครั้งนี้ ภาคีเครือข่ายได้ประกาศเจตจำนงร่วมกันในการขับเคลื่อนและรณรงค์การสร้างเสริมสุขภาวะให้มีความต่อเนื่อง และผลักดันให้เกิดนโยบายสาธารณะที่ส่งผล กระทบสูง โดยมีเป้าหมาย “ร่วมสร้างประเทศไทยให้น่าอยู่” คือ
1.ร่วมกันพัฒนานวัตกรรมการสร้างเสริมสุขภาวะที่สามารถขยายผล จนส่งผลกระทบต่อสุขภาวะของทุกคน
2.มีข้อตกลงร่วมที่จะยกระดับนวัตกรรมสร้างเสริมสุขภาพให้เป็นนโยบายสาธารณะในทุกระดับ
3.ขยายภาคีใหม่ให้ในทุกพื้นที่ และมีแนวทางการทำงานที่มีความหลากหลาย
และ 4.เปิดพื้นที่ทางความคิดและเปิดพื้นที่ทางกายภาพในการทำงานร่วมกันมากขึ้น
นำไปสู่การประกาศปฏิญญาที่จะร่วมดำเนินงานสร้างเสริมสุขภาวะใน 2 ปีจากนี้คือ ปี 2556-2557 รวม 6 เรื่องหลัก คือ
1.สร้างเสริมสุขภาวะอย่างสร้างสรรค์ตลอดทุกช่วงวัยให้เป็นวัฒนธรรมสุขภาพ และสร้างจิตสำนึกพลเมือง
2.ผสานเครือข่ายในทุกระดับมุ่งลดปัจจัยเสี่ยงหลักและพัฒนาปัจจัยเสริมสุขภาพ เช่น บุหรี่ สุรา อุบัติภัย โรคอ้วน ท้องไม่พร้อม ความรุนแรงทางเพศ
3.ร่วมสร้างให้ชุมชนท้องถิ่นน่าอยู่
4.ขยายแนวร่วมในการสร้างกลไก ขยายโอกาส หนุนเสริมสังคมที่เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์มีความเสมอภาค มีภราดรภาพและเป็นธรรม
5.ปรับสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการสร้างภูมิคุ้มกันทางสุขภาวะแก่เด็ก เยาวชน
6. ร่วมแรง ร่วมใจ ทำให้ทุกชุมชนท้องถิ่นเป็นเมืองสื่อสร้างสรรค์
ว่าด้วยเรื่องสุขภาวะ เป็นเรื่องที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกส่วน และที่สำคัญชุมชนต้องเห็นพ้องต้องกันว่าจะเปลี่ยนให้เกิดการมีสุขภาวะดีขึ้น เมื่อเริ่มจากตนเอง บ้าน ชุมชน ในที่สุดเมล็ดพันธุ์แห่งสุขภาวะดีก็จะขยายเบ่งบานทั่วประเทศได้ไม่ยากเลย
ที่มา : หนังสือพิมพ์ข่าวสด โดย เมธาวี มัชฌันติกะ


 
				 
				 
				 
			 
			 
			