‘บ้านม้าร้อง’ ปลูกผักเพิ่มรายได้ครัวเรือน
ที่มา: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
ภาพประกอบจากเว็บไซต์คมชัดลึก
‘บ้านม้ารอง’ อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ นำกระบวนการ ‘สภาผู้นำชุมชน’ ขับเคลื่อนและพัฒนาชุมชนให้น่าอยู่ ส่งเสริมการปลูกผักปลอดสารพิษไว้กินเองลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ให้ครัวเรือน
บ้านม้าร้อง หมู่ 4 ต.พงศ์ประศาสน์ อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ มีประชากร 341 ครัวเรือน ชาวบ้านส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม เช่น สวนปาล์ม สวนมะพร้าว และยางพารา เป็นต้น ปัจจุบันมี ประวิทย์ รัตนพงศ์ เป็นผู้ใหญ่บ้านและเป็นผู้ที่มีบทบาทในการพัฒนาบ้านม้าร้องให้เป็นที่รู้จัก ด้วยการมีสภาผู้นำชุมชนที่เข้มแข็งขับเคลื่อนและพัฒนาชุมชนให้น่าอยู่ผ่านโครงสร้างสภาผู้นำชุมชน ซึ่งจะมีการคัดเลือกตัวแทนคุ้มละ 2 คน เข้ามาเป็นคณะกรรมการร่วมกับคณะกรรมการโดยตำแหน่ง และผู้ทรงคุณวุฒิ โดยมีการประชุมในช่วงเย็นทุกวันที่ 3 ของเดือน ช่วงเช้าก่อนการประชุมจะมีการเดินรับฟังปัญหาและเรื่องร้องเรียนต่างๆ ตามคุ้มบ้านแต่ละหลัง เพื่อนำมาเป็นวาระในการประชุมในช่วงเย็น จากนั้นจะนำข้อสรุปและแนวทางการแก้ปัญหาชี้แจงให้ลูกบ้านในการประชุมประจำหมู่บ้านทุกวันที่ 7 ของเดือน
"ประโยชน์ของสภาผู้นำชุมชนที่เห็นได้อย่างชัดเจน คือเป็นเวทีระดมสมองจนสามารถพัฒนาต่อยอดไปได้หลายๆ โครงการ ตามแผนพัฒนาชุมชนที่วางไว้ ก่อเกิดเป็นกลุ่มอาชีพ สร้างรายได้ให้คนในชุมชน เช่น กลุ่มธนาคารต้นไม้ กลุ่มแปรรูปไม้ กลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มปุ๋ยอินทรีย์ กลุ่มผู้เลี้ยงโค กลุ่มธนาคารความดี กลุ่มป่าเศรษฐกิจ และอื่นๆ" ประวิทย์เผย
ข้อมูลประวิทย์ยอมรับว่าความเข้มแข็งของหมู่บ้านม้าร้อง ส่วนหนึ่งมาจากการรู้จักใช้กลไกและองค์กรภายนอกให้เกิดประโยชน์ต่อชุมชน ซึ่งองค์กรหนึ่งที่มีส่วนอย่างมากคือสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ที่มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนชุมชนบ้านม้าร้องให้น่าอยู่มาอย่างต่อเนื่องด้วยการสนับสนุนในหลายๆ โครงการ โดยชุมชนบ้านม้าร้อง เข้าร่วมโครงการกับ สสส. ครั้งแรกเมื่อปี 2555 ในโครงการ "รวมคนสองวัยสานสายใยรักษ์สิ่งแวดล้อม" ซึ่งเป็นการรณรงค์และปลุกจิตสำนึกการคัดแยกขยะในชุมชนและครัวเรือนอย่างถูกวิธี ล่าสุดยังได้รับการสนับสนุนในการจัดทำโครงการ "บ้านม้าร้องรักษ์สุขภาพ" โดยส่งเสริมให้คนในชุมชนปลูกผักปลอดสารพิษไว้กินเอง และหากเหลือก็นำมาแลกหรือแบ่งปัน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ซึ่งกันและกัน
มานพ ทองมา ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบโครงการ "บ้านม้าร้องรักษ์สุขภาพ" หรือโครงการส่งเสริมและสนับสนุนการผลิตและบริโภคผักผลไม้ปลอดภัยในครัวเรือนชุมชนบ้านม้าร้อง กล่าวถึงเป้าหมายของโครงการ โดยระบุว่าต้องการให้ครัวเรือนปลูกผักและผลไม้ไม่น้อยกว่า 113 ครัวเรือน มีครัวเรือนต้นแบบอย่างน้อย 56 ครัวเรือนที่ปลูกผักและผลไม้ไม่น้อยกว่า 5 ชนิด ตลอดจนช่วยลดรายจ่ายครัวเรือนในการซื้อผักและผลไม้อย่างน้อยร้อยละ 50
"เป้าหมายแท้จริงก็เพื่อประหยัดรายจ่าย จากที่ต้องใช้เงินซื้อสัปดาห์ละ 300 บาท แต่ถ้าปลูกผักกินเองอาจจะไม่ต้องเสียเงินเลยก็ได้ นำผักไปแลกเปลี่ยนกับบ้านที่เขาปลูกผักอื่นๆ ก็ย่อมได้เช่นกัน เพราะวิถีแบบชนบทก็แลกเปลี่ยนกันเป็นประจำอยู่แล้ว เมื่ออยากทำกับข้าวมีหมูอยู่ในตู้เย็น ก็ออกไปหาผักรอบบ้านมาทำกับข้าว ก็กินได้แล้ว" มานพ บอก
การเปลี่ยนแปลงหลังเกิดโครงการ "บ้านม้าร้องรักษ์สุขภาพ" นั้น มานพเผยว่าไม่มุ่งเน้นปริมาณผักที่จะเพิ่มขึ้น แต่อยากเห็นความเอื้ออาทรของคนในชุมชน ขอให้พูดคุยแลกเปลี่ยนกันมากขึ้นกว่าเดิม แค่นี้ก็พอใจแล้ว เพราะที่ผ่านมาความสัมพันธ์ดีๆ เริ่มหายไปจากหมู่บ้าน แต่เมื่อร่วมกันทำโครงการ บรรยากาศเดิมๆ ก็กลับมาอีก เหมือนใช้ผักเป็นตัวเชื่อมแล้วแกงหม้อเดียวกินกัน 5 บ้าน
"เราไม่ได้ปลูกเพื่อขายเป็นธุรกิจ แต่ปลูกเพื่อกิน ที่เหลือก็แบ่งปันกัน ทุกวันนี้ทุกบ้านปลูกผักกันมากขึ้นแล้ว ปลูกไม่ต่ำกว่า 5 ชนิด และจะปลูกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ" มานพ บอก
นับเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของพันธกิจของสภาผู้นำชุมชนที่มุ่งมั่นพัฒนาชุมชนบ้านม้าร้อง ตามธงหลัก 10 ปีที่ได้วางไว้ ด้วยการสร้างคน พัฒนากิจกรรมสร้างเครือข่าย เกิดเป็นชุมชนสวัสดิการ เพื่อผลลัพธ์สุดท้าย ม้าร้องสามัคคี สิ่งแวดล้อมดี ชีวีเป็นสุข