บุคลากรสุขภาพเข้มแข็ง ระบบสุขภาพยั่งยืน
ที่มา : สำนักข่าวสร้างสุข
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในปัจจุบันทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม เทคโนโลยี หรือแม้แต่สถานการณ์ด้านสุขภาพ และด้วยพฤติกรรมการดำเนินชีวิตที่มีความสะดวกสบาย จำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น เหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีผลต่อสุขภาพทั้งสิ้น ดังนั้นการพัฒนาบุคลากรด้านสุขภาพให้มีประสิทธิภาพและตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนจึงเป็นสิ่งสำคัญ
เมื่อไม่นานมานี้ คณะกรรมการขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์พัฒนาการศึกษาสำหรับบุคลากรด้านสุขภาพในศตวรรษที่ 21 (พ.ศ.2557-2561) จัดประชุมวิชาการระดับชาติ เรื่อง “การพัฒนาระบบการศึกษาสำหรับบุคลากรด้านสุขภาพ ครั้งที่ 3” ภายใต้หัวข้อ “เรียนร่วมวิชาชีพ สู่ทีมสุขภาพไทย : IPE towards Thai Health Team” จากความร่วมมือของเครือข่ายบุคลากรด้านสุขภาพ 9 สาขาวิชาชีพ เพื่อสร้างความเข้าใจในการจัดการองค์ความรู้และขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาการศึกษาบุคลากรด้านสุขภาพสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม โดยเน้นการมีส่วนร่วมของผู้ผลิตและผู้ใช้ รวมถึงการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างสาขาวิชาชีพและสถาบันการศึกษา
นอกจากนี้ภายในงานยังได้ลงนามบันทึกทึกความร่วมมือ (MOU) “การพัฒนาบุคลากรสุขภาพเพื่อตอบสนองต่อนโยบายการพัฒนาระบบบริการสุขภาพและความต้องการของประชาชน” ซึ่งเป็นความร่วมมือเพื่อบูรณาการการทำงานของหน่วยงานระดับชาติทั้ง 8 ฝ่าย ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาระบบการศึกษาของบุคลากรสุขภาพให้มีสมรรถนะที่เหมาะสม นำไปสู่ระบบบริการสุขภาพที่มีคุณภาพและความเสมอภาคในการใช้บริการของประชาชน
ศ.คลินิกเกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวปาฐกถาพิเศษ เรื่อง “อนาคตระบบสุขภาพไทย ความร่วมมือระหว่างผู้ใช้และผู้ผลิต” ภายหลังจากเปิดการประชุม ว่า ระบบบริการสุขภาพต้องทำงานเชิงรุก ประเทศไทยมีโรงเรียนผู้สูงอายุให้ผู้สูงอายุได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ ความรู้ และสร้างประโยชน์ให้แก่สังคม เพราะเราไม่มีงบประมาณมากพอที่จะสร้างสถานที่ดูแลผู้สูงอายุได้อย่างเต็มที่ แต่บุคลากรที่ให้บริการด้านสุขภาพด้านสาธารณสุขทั้งภาครัฐและเอกชนจะต้องกลับไปดูแลผู้สูงอายุที่บ้าน เพราะบ้านเป็นสถานที่ดูแลที่ดีที่สุด ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้บุคลากรด้านสุขภาพต้องร่วมมือกัน และการดำเนินงานจะต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน ในแผนการดำเนินงาน 20 ปี ของกระทรวงสาธารณสุข คือ ประชาชนมีสุขภาพดี เจ้าหน้าที่มีความสุข ระบบสุขภาพยั่งยืน
“จุดแข็งที่จะนำไปสู่ระบบสุขภาพที่ยั่งยืนใช้คำว่า 4 Excellence อันแรกที่สำคัญ คือ P&P Prevention and Promotion Excellence การป้องกันและการสร้างเสริมสุขภาพสำคัญที่สุด การจะนำเงินไปสร้างโรงพยาบาล สร้างห้องพยาบาลเพื่อต่อชีวิตรองรับอุบัติเหตุไม่สำเร็จ เพราะฉะนั้น Promotion Prevention and Protection Excellence จึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจุดมุ่งหมายของเราคือประชาชนทุกกลุ่มวัยมีสุขภาพดี ระบบบริการสุขภาพจะต้องเข้าถึงประชาชนอย่างเต็มที่ให้ดีที่สุดในค่าใช้จ่ายที่สมเหตุสมผลที่สุด รวมถึง People Excellence บุคคลที่จะต้องพัฒนาอยู่ตลอดเวลา เพราะคนอยู่ในทุกระบบ ฉะนั้นจะต้องบูรณาการร่วมกันและผลิตบุคลากรที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งทั้ง 4 ด้านนี้จะต้องร่วมมือกันตั้งแต่ต้น ระบบบริการจัดการต้องมีคุณธรรมและทุกระบบต้องเอื้อต่อการพัฒนา ฉะนั้นสถานศึกษาที่ผลิตบุคลากรด้านสุขภาพต้องร่วมมือกันเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้บริการ เมื่อระบบบริการสุขภาพเข้มแข็งก็จะทำให้ระบบการทำงานยั่งยืน” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวเพิ่มเติม
ขณะที่ ศ.พญ.วณิชา ชื่นกองแก้ว กรรมการและเลขานุการการขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาการศึกษาสำหรับบุคลากรด้านสุขภาพ กล่าวถึงการลงนามบันทึกความร่วมมือ (MOU) “การพัฒนาบุคลากรสุขภาพเพื่อตอบสนองต่อนโยบายการพัฒนาระบบบริการสุขภาพและความต้องการของประชาชน” ว่า ก่อนหน้านี้มีการทำบันทึกความร่วมมือระหว่างกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงกลาโหม ที่มุ่งพัฒนาการบริการระบบสุขภาพในการส่งต่อผู้ป่วย แต่ยังขาดเรื่องการศึกษาและการวิจัยด้านสุขภาพ ซึ่งบุคลากรด้านสุขภาพจะมีทั้งผู้ให้บริการและผู้ใช้บริการ จำนวน ชนิด คุณภาพ การกระจายให้ธรรมรงอยู่อย่างยั่งยืน ดังนั้นการพัฒนาคุณภาพและการศึกษา ซึ่งผู้ผลิตคือสถาบันการศึกษาต่างๆ และผู้ใช้คือกระทรวงสาธารณสุข ทั้ง 2 ส่วนต้องมีความเชื่อมโยงกัน
“ในสถาบันการศึกษายังเห็นความเชื่อมโยงในระบบสุขภาพน้อย การทำ MOU ระหว่าง สำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา (สกอ.) และกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) จะทำให้เกิดการเชื่อมโยงที่เป็นรูปธรรมมากขึ้น ผู้ผลิตและผู้ใช้บริการจะมีความเข้าใจตรงกัน รวมถึงหน่วยงานต่างๆ ทั้งสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ที่เกี่ยวข้องกับระบบบริการสุขภาพ สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ช่วยสนับสนุนงานวิจัยเชิงระบบและพัฒนาให้ดีขึ้น สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ที่ทำงานในบริบทของพื้นที่ซึ่งจะรู้ความต้องการของประชาชน ทำให้สามารถผลิตบุคลากรทางการแพทย์ได้ตรงตามความต้องการของพื้นที่ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ช่วยในการพัฒนาบุคลากรสุขภาพเชิงรุก สอนให้รู้จักดูแล ส่งเสริมและป้องกันด้านสุขภาพ คณะกรรมการกำลังคนด้านสุขภาพแห่งชาติ ช่วยในการวางแผนการผลิตบุคลากร และคณะกรรมการการขับเคลื่อนแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาการศึกษาสำหรับบุคลากรด้านสุขภาพ ซึ่งทุกวิชาชีพจะได้ทำงานร่วมกัน ความร่วมมือในครั้งนี้จึงครอบคลุมทั้งการศึกษาและการวิจัยเพื่อตอบสนองความต้องการบริการสุขภาพและความเสมอภาคการเข้าถึงบริการด้านสุขภาพของประชาชน เพราะเมื่อบุคลากรทางการแพทย์เข้มแข็งคนที่เข้าถึงระบบสุขภาพก็จะมีความเสมอภาคมากขึ้น” ศ.พญ.วณิชา อธิบายเพิ่มเติม