บาดเจ็บขณะวิ่ง…ทำไงดี
การวิ่งระยะไกลอย่าง วิ่งมินิมาราธอน หรือ วิ่งมาราธอน แน่นอนว่านักวิ่งที่มากประสบการณ์ต่างก็เคยเจออาการบาดเจ็บขณะวิ่งมาแล้วทั้งนั้น แต่สำหรับนักวิ่งหน้าใหม่เอง การทำความเข้าใจเบื้องต้นเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บขณะวิ่งก็เป็นเรื่องสำคัญที่ควรรู้ไว้เช่นกัน
เสาวลักษณ์ กิตติวรภูมิ หรือ เป้ย ผู้ก่อตั้ง ‘คลับจิตอาสา volunteer AED club’ บอกถึงอาการบาดเจ็บที่มักจะเกิดขึ้นขณะวิ่งที่พบบ่อยจะมีตั้งแต่ รองเท้ากัดเป็นแผล แต่ยังฝืนวิ่งจนเจ็บไม่สามารถวิ่งได้ เป็นตะคริว อาการข้อเท้าส้น ข้อเท้าแพลง พลิก อาการวิงเวียนหน้ามืด เป็นลมในนักวิ่งผู้หญิงที่มีประจำเดือน
วิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้น
ผู้ที่พบเจอนักวิ่งมีอาการบาดเจ็บขณะวิ่ง ลำดับแรกคือ ให้สังเกตใบหน้าของนักวิ่งเป็นอย่างไร ใบหน้าแดงก่ำ เหนื่อยหอบ และควรสอบถามถึงอาการว่า เป็นอย่างไรบ้าง ไหวหรือเปล่า แนะนำให้หยุดพักก่อน และหาน้ำให้ดื่ม อาการบาดเจ็บจากข้อเท้าส้น พลิกหรือแพลง จากข้อมูลความรู้การปฐมพยาบาลเบื้องต้นจากพยาบาลวิชาชีพขั้นสูง สภากาชาดไทย หากมีอาการดังกล่าว ไม่ควรบีบ นวด หรือกดบริเวณที่พลิก และไม่ควรประคบร้อน ควรหาน้ำแข็งห่อผ้าไว้ เพื่อประคบบริเวณที่ข้อเท้าพลิก ก่อนนำไปปฐมพยาบาลขั้นสูง
“หัวใจวายเฉียบพลัน” ภาวะอันตราย
เป้ย หัวหน้าทีมอาสาสมัครคนเก่ง บอกว่า “โรคหัวใจวายเฉียบพลัน” เป็นภาวะที่อันตรายและสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ทุกเพศทุกวัย ทุกที่ ทุกเวลา โดยผู้มีภาวะดังกล่าว ไม่สามารถที่จะรอการปฐมพยาบาลขั้นสูง หรือรอการรักษาจากแพทย์ได้ทันเวลา จึงมีความจำเป็นที่ผู้อยู่ในเหตุการณ์ หรือผู้ที่อยู่ใกล้กับผู้ประสบภาวะดังกล่าว ต้องรู้วิธีปฐมพยาบาลขั้นต้นก่อนที่จะถึงมือแพทย์ ซึ่งพวกเขามีส่วนสำคัญมากที่จะเพิ่มโอกาสการรอดชีวิตให้กับผู้ป่วยได้ถึง 60%
วิธีสังเกตคือ เมื่อพบนักวิ่งมีอาการ หน้าเริ่มซีด หายใจหอบแรง และหมดสติ คนส่วนมากจะคิดว่าเป็นลมธรรมดา แต่ข้อสังเกตว่าผู้ป่วยมีภาวะหัวใจวายเฉียบพลันหรือไม่ คือ ‘ใบหน้าเริ่มซีด บริเวณหน้าอกกระเพื่อมหรือไม่ ถ้าไม่ นั่นคือไม่หายใจ’ ให้เรียกเพื่อปลุกเขา ใช้ฝ่ามือตบบริเวณบ่าให้เขารู้สึกตัว ระหว่างนั้นให้โทรประสานงานกับทีมแพทย์ฉุกเฉินของงานวิ่ง หรือ 1669 สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.)
“5 ห่วงโซ่การรอดชีวิต”
ขณะที่รอรถพยาบาล ผู้ป่วยมีนาทีทองเพียง 4 นาที ในการรอดชีวิต ซึ่งเรียกวิธีการปฐมพยาบาลพื้นฐานนี้ว่า “5 ห่วงโซ่การรอดชีวิต” คือ
1. เรียกผู้ป่วยให้รู้สึกตัว
2. เมื่อเขาหยุดหายใจหัวใจไม่สูบฉีด เลือดไม่เลี้ยงสมอง วิธีการช่วยเหลือคือ การทำCPR ดังนี้
-ประสานมือ 2 ข้างได้ตามถนัด วางลงบนกึ่งกลางของหน้าอก และกดฝ่ามือลงไปให้ลึกอย่างน้อย 5 เซนติเมตร หรือ 2 นิ้ว กดให้ลึก เร็วและแรง
-ปั๊มหัวใจ 30 ครั้ง ด้วยจังหวะสม่ำเสมอ ให้หัวใจถูกแรงบีบกดลงไป
– ใช้นิ้วกลางเสยคางขึ้นมา และเป่าปาก 2 ครั้ง ทำแบบนี้ 5 เซตๆ ละ 30 ครั้ง
– หากไม่เป่าปากให้ปั๊มหัวใจ 200 ครั้ง โดยไม่หยุด
3. ใช้เครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้า (AED) ภายใน 4 นาทีแรก ทำให้ผู้ประสบภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน มีโอกาสการรอดชีวิตเพิ่มมากขึ้น ซึ่ง 3 ขั้นตอนแรกมีความสำคัญมากต่อชีวิตผู้ป่วย ก่อนจะถึงมือแพทย์
4. รถพยาบาลมาถึงที่เกิดเหตุ ให้บอกข้อมูลที่เราปฐมพยาบาลว่าทำอะไรไปแล้วบ้าง เพื่อให้ทีมแพทย์ได้ดำเนินการต่อได้ทันท่วงที
5. ส่งผู้ป่วยไปโรงพยาบาลด้วยความปลอดภัย
เป้ย หัวหน้าทีมอาสาสมัครคนเก่ง ยังบอกถึงการเตรียมความพร้อมของทีมอาสาสมัคร ‘คลับจิตอาสา volunteer AED club’ ที่จะมาช่วยเหลือ ดูแลนักวิ่ง ในงานวิ่งสู่ชีวิตใหม่ Thai Health Day 10K Run 2015 วันที่ 8 พฤศจิกายน ที่จะถึงนี้ ว่า ในงานจะมีอาสาสมัครรุ่น 1 และ 2 ที่ได้รับการอบรมเรื่องปฐมพยาบาลเบื้องต้นและการปั๊มหัวใจ
รวมถึงการใช้เครื่อง AED อีกทั้งยังมีการวางแผนแบ่งหน้าที่ของอาสาสมัครดูแลตลอดระยะเส้นทางวิ่ง 10กิโลเมตร โดยจะแบ่งเป็น4 จุด คือ จุดที่ 1 เป็นเครื่อง AED ที่จุดให้น้ำ ทั้ง 4 จุด คือ จุดปล่อยตัวและเส้นชัย 3.ทีมปั่นจักรยาน 20 คน โดยแบ่งพื้นที่การดูแลตลอดเส้นทางวิ่ง ทุก 2 กิโลเมตร และ 4.รันเนอร์การ์ด วิ่งดูแลนักวิ่งตลอดเส้นทาง
งาน “วิ่งสู่ชีวิตใหม่ Thai Health Day 10K Run 2015” วันที่ 8 พฤศจิกายน ที่จะถึงนี้ นับว่าเป็นการรวมตัวของนักวิ่งหน้าใหม่ นักวิ่งที่มีประสบการณ์ นักวิ่งอาวุโส รวมถึงเหล่านักวิ่งจิตอาสาที่จะคอยดูแลนักวิ่งที่ตั้งใจจะพิชิตมินิมาราธอนสู่ชีวิตใหม่ ด้วยความปลอดภัยทุกคน…แล้วมาพบกันนะคะ
เรื่องโดย พิมพ์ชนก ศรเพชร Team Content www.thaihealth.or.th