บทเรียนชีวิตของ ป๋าเต็ด ที่เรียนรู้จากการทำตัวเอง…เฉียดตาย…
‘ป๋าเต็ด’ ยุทธนา บุญอ้อม เดินนำพวกเราขึ้นไปที่ห้องทำงานบนชั้นสูงสุดของของอาคารพาณิชย์แห่งหนึ่งด้วยท่าทางกระฉับกระเฉง ขณะที่พวกเราบางคนหอบกันเล็กน้อยเมื่อขึ้นไปถึง ใครจะเชื่อว่า ชายอายุ 52 ที่มีรูปร่างทะมัดทะแมงในตอนนี้เป็นคนเดียวกับคนเมื่อปีก่อนที่เกือบเสียชีวิตเพราะอาการกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดไปเลี้ยงหัวใจแบบเฉียบพลัน
“ตุลาคมปีที่แล้ว (2561) ผมตื่นเช้ามาชงกาแฟกิน จู่ๆ เหงื่อออก ทั้งที่อยู่ในห้องแอร์ เลยออกไปข้างนอกเพื่อสูดอากาศ แต่สูดไม่ได้ อาการเหมือนมีคนนั่งทับหน้าอก หายใจติดขัด บ้านหมุน เลยรีบโทรไปหาเพื่อนที่เป็นหมอ เพื่อนบอกให้รีบไปหาโรงพยาบาล สรุปคือ ผมหัวใจวาย เกือบตาย สาเหตุคือกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดไปเลี้ยงหัวใจแบบเฉียบพลัน หัวใจคนเรามีเลือดไปเลี้ยง 3 เส้นหลัก ของผมตัน 100 เปอร์เซ็น 1 เส้น ตีบ 60 เปอร์เซ็น 1 เส้น ส่วนอีกเส้นหมอไม่ได้พูดถึง แสดงว่ายังพอไหว หมอให้ทำบอลลูนทันที ดีที่ไปทัน เลยรอด หมอบอกว่า ตอนนั้น 50/50 ถ้ามาช้ากว่านั้น โอกาสตายก็จะมากขึ้น” ป๋าเต็ดเล่าย้อนวินาทีเฉียดตาย
เหตุการณ์วันนั้นทำให้ป๋าเต็ดรู้ชัดว่า บุหรี่ที่ตัวเองชื่นชอบมาอย่างยาวนาน คือ หนึ่งในตัวการสำคัญ
“ผมเริ่มสูบตอนเรียนมหาลัย ยุคนั้นกฎเกณฑ์ยังน้อย ไม่มีห้ามสูบในสถานศึกษา แล้วดันเรียนที่จุฬาฯ อยู่ใกล้สยามสแควร์ ซึ่งตอนนั้นจะมีบุหรี่นำเข้ามาขาย ซองสวย เท่ดี ก็ซื้อมาพก แรกๆ ไม่ได้สูบเพราะอยากดื่มด่ำรสชาติ แต่พอสูบไปเรื่อยๆ จากซองเดียวสูบได้เป็นอาทิตย์ ก็กลายเป็นวันละซอง และจากต้องสูบบุหรี่นอก กลายเป็นยี่ห้ออะไรก็ได้…
มีครั้งหนึ่งไปเที่ยวเกาะ ที่นั่นมีแต่บุหรี่ยี่ห้ออะไรไม่รู้ขาย รสชาติแย่มาก แต่ก็ยังต้องซื้อมาสูบ ตอนนั้นเลยรู้ตัวว่า ตัวเองติดบุหรี่เสียแล้ว”
แล้วนั่นคือที่มาของความพยายามครั้งแรกในการเลิกสูบบุหรี่
“อยากเลิก เพราะชักไม่ชอบที่มันควบคุมเรา ไม่ชอบให้มันมาเป็นเจ้านาย ทำไมต้องแพ้มัน เลยใช้วิธีป่าวประกาศ บอกเพื่อน เพื่อนจะได้คอยจับผิด ซึ่งก็ได้ผล แต่เฉพาะตอนอยู่กับเพื่อน พอไม่อยู่ ก็เอาสักหน่อย กลับมาสูบอีก แถมหนักกว่าเดิม…
ครั้งที่สองที่เลิก คือตอนเริ่มทำงาน บอกแฟนว่าจะเลิก ซึ่งก็เหมือนเดิม คือไม่สูบเฉพาะตอนอยู่ต่อหน้าแฟน”
การเลิกบุหรี่ของป๊าเต็ดสองครั้งแรกกินเวลาไม่ถึงเดือน ก็พบความพ่ายแพ้ บางคนคงท้อ แต่ป๋าเต็ดไม่ยอมง่ายๆ
“เลิกบุหรี่ครั้งที่ 3 คือตอนมีลูก อยากเล่น อยากอุ้มลูก แต่รู้ว่า บุหรี่อันตรายต่อเด็ก บวกกับช่วงนั้นเจ็บคอ เลยหยุดสูบไป 3 วัน ก็รู้สึกว่า ไม่สูบก็ได้นี่ เลยลองเลิกต่ออีกวัน แล้วก็เลิกต่อมาเรื่อยๆ ทั้งที่บนโต๊ะยังมีบุหรี่ที่ซื้อมาเก็บไว้วางอยู่เต็ม ทั้งที่เขี่ย อุปกรณ์ครบ เคยได้ยินคนบอกว่า ถ้าจะเลิกบุหรี่ต้องเก็บให้หมด แต่เรารู้สึกว่า มันเป็นการท้าทาย ไม่งั้นก็จะเหมือนตอนประกาศเลิกให้เพื่อนรู้ ถ้าเราเก็บหมดแล้วไม่สูบ แต่เกิดวันหนึ่งไปเห็นจะทนไหวหรือเปล่า”
จนหยุดสูบได้ 2 เดือน ป๋าเต็ดก็มั่นใจว่า เลิกสำเร็จ จึงประกาศให้คนรอบข้างรู้ และเป็นการเลิกได้ถึง 6 ปี เป็นระยะเวลายาวนานชนิดไม่คิดว่า บุหรี่จะสามารถพลิกกลับมาชนะ…แต่มันก็กลับมาจนได้ !
“ตอนนั้นมั่นใจว่า เลิกได้แน่นอน จนไปเที่ยวกับเพื่อน ซึ่งนั่นคือ จุดเปราะบาง เพราะบรรยากาศที่มีเพื่อนสูบ เพื่อนดื่ม มันทำให้เกิดความอยากรู้ว่า ถ้าสูบอีกจะเป็นยังไง เลยลองสูบ เหม็นมาก ไม่ชอบ จึงยิ่งมั่นใจว่า เอาอยู่ หลังจากนั้นพอไปเที่ยวก็จะสูบ หรือเวลาไปต่างประเทศคนเดียว ไม่มีอะไรทำก็สูบ…
พอทำแบบนี้เรื่อยๆ ทีละนิดทีละหน่อย สุดท้ายก็กลับมาสูบอีก และสูบหนักมาก วันละ 2 ซอง และคราวนี้สูบต่อเนื่อง เป็น 10 ปี
ลงจากรถก็สูบ นั่งส้วมก็สูบ กินข้าวเสร็จก็สูบ ควบคุมตัวเองไม่ได้ ถึงขั้นเคยออกไปสูบบุหรี่นอกบ้าน พอจุดเสร็จวางไว้บนที่เขี่ย แค่หันไปหยิบของ หันกลับมาจุดสูบอีกตัวโดยไม่รู้ตัว มันกลายเป็นพฤติกรรมอัตโนมัติ พอนั่งตรงนี้ บรรยากาศแบบนี้ จะสูบทันที”
ผลของการกลับมาสูบบุหรี่ครั้งนี้จบลงด้วยการเสี่ยงเกือบถึงชีวิต ทำให้ป๋าเต็ดได้กลับมาหยุดคิดอีกครั้ง
“ตอนนั้นอยู่โรงพยาบาล มีแต่คนบอกให้เลิกบุหรี่ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ตัดสินใจเลิก แต่ที่ทำให้เลิก คือโมโหตัวเองที่เหลวไหล ไม่ดูแลสุขภาพ ตลอด 3 ปีก่อนหน้านั้น ผมไม่ได้ตรวจสุขภาพ ไม่ได้ออกกำลังกาย ทั้งที่แต่ก่อนผมเคยวิ่งได้เป็น 10 กิโล และเป็นคนแรกที่ชวนให้ตูน บอดี้สแลมวิ่งด้วยซ้ำ…
เลยตัดสินใจเริ่มใหม่ เลิกบุหรี่ ควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย และตรวจสุขภาพสม่ำเสมอ
นับแต่วันนั้นก็เกือบปี ไม่สูบเลยสักตัว มีบ้างที่อยากสูบเมื่อเจอบรรยากาศที่คุ้นเคย หรือเห็นบุหรี่รุ่นใหม่ ซองสวยๆ แต่ก็แค่อยาก ไม่ได้ลอง”
หลังจากลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลง สร้างชีวิตดีด้วยตัวเอง ป๋าเต็ดก็ได้พบกับแง่มุมใหม่ของชีวิต
“ตอนนี้รู้แล้วว่า การสูบบุหรี่ทำให้เราสูญเสียอะไรดีๆ ไปมากมาย เช่น อย่างเรื่องครอบครัว ทุกครั้งที่สูบบุหรี่ หมายความว่า เราจะต้องเดินห่างจากลูก และครอบครัวไป เรื่องการทำงานก็เช่นกัน สมัยทำงานที่แกรมมี่ เคยต้องลงจากตึกกว่า 30 ชั้น เพื่อลงมาสูบ สูบเสร็จกลับขึ้นไป อยากสูบอีกแล้ว บางครั้งถึงขั้นต้องเรียกลูกน้องมาประชุมข้างล่าง ลำบากไปหมด ยังไม่รวมถึงเรื่องเงิน ผมเริ่มสูบตั้งแต่บุหรี่ซองละ20 บาท จนก่อนเลิกซองละเกือบ 160 บาท คิดดู สูบวันละซอง เดือนหนึ่งก็มีหลายพัน…
แน่นอนถึงวันหนึ่งผมอาจป่วยเป็นอะไรสักอย่าง แต่ตอนนี้ผมมีความสุขมากๆ กับการมีสุขภาพดี มันเป็นสิ่งที่เห็นผลในวันนี้ อย่างแต่ก่อนถ้าเดินขึ้นออฟฟิศ 4 ชั้นแบบนี้ อาจต้องพักที่ชั้น 2 ตอนนี้สบาย เคยป่วยบ่อยมาก ตื่นมาไอเยอะ มีเสมหะ เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว มันคือของขวัญที่ได้จากการดูแลสุขภาพ”
“สำหรับคนที่พยายามเลิกแล้วยังไม่สำเร็จ ผมก็เป็นคนประเภทนี้ ให้รู้ไว้ว่า อย่างน้อยเราได้คิดดี ไม่มีใครไม่เคยผิดพลาด หรือสำเร็จตั้งแต่ครั้งแรก ความพ่ายแพ้เป็นเรื่องปกติ ขอแค่อย่าไปคิดว่า ไม่มีทางเลิกได้…
ส่วนคนที่ยังไม่เคยคิดเลิก คิดว่าบุหรี่ไม่มีโทษ ผมว่า จริงๆ คุณรู้ แค่หลับตาข้างหนึ่ง หาเหตุผลเข้าข้างตัวเอง ผมเข้าใจนะ เพราะกว่าผมจะหาเหตุผลได้ครบก็เกือบตาย แค่อยากบอกว่า มันมีเหตุผลเพียงพอจริงๆ ที่จะเลิก ชีวิตจะเปลี่ยนแปลงทันที มีเรื่องดีๆ รออยู่ แค่ตอนนี้บุหรี่ไปขวางทางอยู่ ถ้าคุณสูบบุหรี่แล้วฟิน ขอให้ไปลองเปรียบกับความฟินจากการวิ่งเข้าเส้นชัย คุณจะรู้ว่า ต่อให้สูบบุหรี่ทั้งซองก็เทียบไม่ได้
…ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปครับ แล้วคุณจะรู้ว่ามันคุ้ม เมื่อคุณทำได้”
ทุกๆ ปลายทางของจุดมุ่งหมาย ย่อมต้องมีอุปสรรคให้ข้ามผ่าน สสส. เข้าใจดีว่า ไม่มีเรื่องง่ายสำหรับการลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงตัวเอง แต่ก็เชื่อว่า ทุกคนมีความมุ่นมั่นอยากมีชีวิตที่ดี จึงขอเป็นกำลังใจ และพร้อมสนับสนุนทุกคนด้วยสิ่งดีๆ มีประโยชน์ที่อยากส่งต่อ หากคุณสนใจ เพียงเข้าไปดูที่นี่ http://bit.ly/2Zzsxzr