นโยบายเพื่อการเอาชนะพิบัติภัยท้องถนน
ที่มา : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์
ภาพประกอบจากแฟ้มภาพ
นโยบายเพื่อการเอาชนะพิบัติภัยท้องถนน
"พลเดช ปินประทีป เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ" ในขณะที่เขียนบทความนี้ ยังไม่ได้มีการประกาศตัวเลขอุบัติเหตุท้องถนน ในช่วง 7 วันอันตรายสำหรับเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ที่เพิ่งผ่านไป จึงได้แต่ภาวนาว่าพี่น้องคนไทยจะเจ็บตายบนท้องถนนน้อยลงกว่าปีก่อนๆ
สถิติการบาดเจ็บล้มตายจากอุบัติภัยท้องถนนในประเทศไทย ได้พุ่งขึ้นสูงติดอันดับโลกมาร่วมสิบปี จนได้รับการกล่าวขานไปทั่ว เรื่องนี้คนไทยทั่วไปก็รับรู้ หน่วยงานรัฐและเอกชน ที่เกี่ยวข้องต่างใช้ความพยายามแก้ปัญหาไม่ลดละ รัฐบาลทุกชุดที่เข้ามา บริหารล้วนหนักอกหนักใจ
ปีก่อนหน้ามีจำนวนผู้เสียชีวิต รวม 24,237 คน หรือเฉลี่ย 65 คน/วัน คิดเป็นอัตราตาย 36.2 รายต่อประชากรแสนคน ซึ่งนับเป็นอันดับ 1 ของโลก ส่วนปีที่ผ่านมาก็ตายอีก 22,491 คน คิดเป็นอัตรา 34.7 ราย/ ประชากรแสนคน ตกมาเป็นอันดับ 9 นับว่าดีขึ้นบ้างแต่ยังพึงพอใจหรือวางใจอะไรไม่ได้เลย
ด้วยเหตุว่าเรายังมีสถิติการตายจากอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์เป็นอันดับ 1 ของโลกอยู่ตามเคย
เด็ก-เยาวชนไทยตายเฉลี่ยปีละ 2,510 คน ช่วงวัย 15-19 ปี เป็นช่วงที่พบสถิติการตายสูงสุด เมื่อรวมทั้งเด็ก เยาวชน และคนวัยทำงาน จะมีการเสียชีวิตบนท้องถนนสูงถึง 2/3 คือ ราว 1.4 หมื่นคน/ปี หรือเฉลี่ยวันละ 40 คนทีเดียว
ไม่เพียงการเสียชีวิตเท่านั้น เรายังมีปัญหาเรื่องผู้พิการจากอุบัติเหตุทางถนนตามมาให้เป็นภาระใหม่ เพราะทุกวันนี้มีผู้พิการรายใหม่เพิ่มขึ้นอีก ปีละ 6,000-7,000 คน ในขณะที่ประเทศกำลังเข้าสู่สังคมสูงวัย คนกลุ่มวัยทำงานที่ควรจะต้องเป็น ผู้ดูแลครอบครัวและสังคม กลับต้องกลายมาเป็นภาระให้คนอื่นดูแลแทน
เมื่อปี 2552 ผ่านมาแล้ว 9 ปี ด้วยเหตุที่ตัวเลขการตายในช่วงสงกรานต์ถีบสูงขึ้นถึง 400 คนในปีนั้น ได้ทำให้ประเด็น "อุบัติเหตุทางถนน" กลายเป็นระเบียบวาระสำคัญที่ภาคีเครือข่ายเสนอเข้ามาสู่การพิจารณาของสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 2
เมื่อสมัชชาสุขภาพแห่งชาติได้มีมติกันแล้ว การขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะของสังคมเรื่องนี้ก็ดำเนินการกันอย่างแข็งขันมาก สิ่งใดที่เป็นข้อมติว่าจะต้องจัดตั้งกลไกบูรณาการอะไร ก็ตั้งกันแล้ว หน่วยงานไหนต้องทำอะไรบ้างก็ได้ดำเนินการกันไปจนครบถ้วนแล้ว รวมทั้งเกิดการทำงานรณรงค์แก้ปัญหาร่วมกันมาอย่างต่อเนื่อง
แต่เมื่อปัญหายังคงแก้ไม่ตก ในเวทีสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 11 ที่เพิ่งผ่านมา จึงได้มีการระดมความคิดกันอย่างจริงจังอีกครั้ง ประเด็นที่ค้นหาคือ มีหลายหน่วยงานดำเนินงานอย่างเข้มแข็ง แต่ทำไมถึงไม่ประสบความสำเร็จในการลดอุบัติเหตุกันสักที
ส่วนหนึ่งพบว่า แม้ทำงานเข้มแข็ง แต่การทำงานยังทำงานแบบแยกส่วน ตามความถนัดของบุคคลและองค์กร มักทำกันตามกระแส ให้ความสำคัญเฉพาะช่วงเทศกาล ขาดการทำงานเชื่อมประสานทั้งระดับชาติและระดับพื้นที่
ที่สำคัญพบปมปัญหาใหญ่ว่า ประชาชนผู้เป็นกลุ่มเป้าหมาย เป็นเหยื่อ เป็นกลุ่มเสี่ยงและผู้รับผลกระทบ ยังคงทำตัวเป็นเพียง "ผู้ดู ผู้ชม" มากกว่าที่จะเป็น "ผู้แสดง"ผู้ร่วมขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาของตนเองและชุมชนท้องถิ่น
ที่ผ่านมาเราจะเห็นการทำงานอย่างแข็งขันของฝ่ายนโยบาย ฝ่ายราชการ โดยเฉพาะกระทรวงมหาดไทย ตำรวจ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ผู้ว่าราชการจังหวัด กระทรวงคมนาคม สสส. สพฉ. อปท. และภาคเอกชนทั้งหลาย
ส่วนฝ่ายวิชาการยิ่งไม่ต้องพูดถึง เขาทำงานกันอย่างไม่หยุดหย่อน สสส.สนับสนุนเครือข่ายนักวิชาการและ กรมวิชาการของกระทรวงสาธารณสุข ศึกษาค้นคว้าและทำโครงการนำร่อง จนรู้หมดว่าพื้นที่เสี่ยง กลุ่มเสี่ยง ปัจจัยเสี่ยงและจุดอ่อนข้อจำกัดอยู่ตรงไหน จะแก้ไขต้องทำอย่างไร แต่เมื่อลงมือทำก็ทำได้แบบเป็นช่วงเป็นหย่อม ขาดความต่อเนื่องและการตอบรับจากสังคม
ทางสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) เอง เราก็มีความร่วมมือสานพลังกับศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศปวถ.) และ สสส. จัดทำโครงการพัฒนาต้นแบบกลไกศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน จ.ร้อยเอ็ด และโครงการต้นแบบตำบลปลอดภัยที่ จ.ลำปาง โดยบูรณาการการทำงาน กับภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน ทุกระดับในพื้นที่ ก่อนที่จะขยายผลพื้นที่รูปธรรม การลดปัญหาอุบัติเหตุทางถนนไปสู่ พื้นที่อื่นๆ ต่อไป
ในเวทีแลกเปลี่ยนเรียนรู้การขับเคลื่อนมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ "การแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนน" เมื่อวันที่ 13 ธ.ค. 2561 มีข้อเสนอรูปธรรมการดำเนินการต่อไปหลายประการ อาทิ การเสนอให้มีหน่วยงานหรือองค์กรที่เป็นกลไกขึ้นมาดูแลอุบัติเหตุทางท้องถนนอย่างเป็นกิจจะลักษณะ แบบเดียวกับงานจัดการทรัพยากรน้ำ และงาน ยาเสพติด เพื่อสร้างบุคลากรให้มีความรู้ความเชี่ยวชาญ มีงบประมาณ และทำงานได้ต่อเนื่องตลอดปี
เสนอให้มีมาตรการเฉพาะ เช่น การใช้ระบบคะแนนใบขับขี่ ลดพฤติกรรมการขับรถเร็ว เมาแล้วขับ ง่วงขับรถ ไม่สวมหมวกกันน็อก ไม่คาดเข็มขัดนิรภัย เปลี่ยนค่าปรับให้เป็น "กองทุน" จัดหาอุปกรณ์ ปรับระเบียบให้ "ท้องถิ่น" มีบทบาทและสามารถ ใช้งบประมาณของตนเพื่อสร้างความปลอดภัยทางถนน ฯลฯ
ในระดับพื้นที่ เสนอให้ลงทุนสนับสนุนกลไกบูรณาการ (ศปถ.จังหวัด-อำเภอ-ท้องถิ่น) ที่เข้มแข็ง มีงบประมาณพัฒนาบุคลากร จัดการข้อมูล-แผนงาน สร้างแนวร่วม และหนุนให้เกิดเจ้าภาพร่วมกัน
นอกจากนั้น ยังมีข้อเสนอต่อพรรคการเมืองที่กำลังจะรณรงค์ เลือกตั้ง โดยผู้เชี่ยวชาญในคณะที่ปรึกษาขององค์การอนามัยโลก มี 3 ประการ ได้แก่
1.อยากให้พรรคการเมืองมี นโยบายในการจัดตั้งหน่วยงานองค์กรนำ (Lead Agency) ด้านการบริหารจัดการและวิชาการด้านความปลอดภัยทางถนน เพื่อเป็นหน่วยงานรับผิดชอบหลัก
2.อยากให้มีนโยบายลงทุนเพื่อความปลอดภัยอย่างชัดเจน
3.อยากให้มีการประกาศให้การแก้ไขปัญหาจากอุบัติเหตุทางถนนเป็นวาระสำคัญและพิจารณา เรื่องความปลอดภัยทางถนน เป็นหนึ่งในนโยบายเร่งด่วนของพรรค
ผมขอฝากเรื่องนี้ให้ท่านผู้นำและ ผู้บริหารพรรคการเมืองทุกพรรคพิจารณากันตามอัธยาศัย รวมทั้งฝากเพื่อนคนไทยให้ช่วยกันดูแลเรื่องนี้กันอย่างจริงจังด้วยนะครับ