“นั่งท้ายรถกระบะ” แน่ใจแค่ไหน ว่าคุณไม่เสี่ยง?
เรื่องโดย ฉัตร์ชัย นกดี Team Content www.thaihealth.or.th
ข้อมูลและภาพประกอบจาก หนังสือเรื่อง อย่าเสี่ยงกับความเร็ว โดยสำนักศูนย์เรียนรู้สุขภาวะ, เว็บไซต์ 77JOWO.COM, เว็บไซต์ BLT Bangkok
ให้สัมภาษณ์โดย นพ.ธนพงษ์ จินวงษ์ ผู้จัดการศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน
ภาพโดย นัฐพร ชุ่มลือ Team Content www.thaihealth.or.th และแฟ้มภาพ
แฟ้มภาพ
ล่วงเข้าสู่ช่วงปลายฝนต้นหนาว หลายคนเริ่มวางแผนจะขับรถออกไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ เพื่อสัมผัสอากาศหนาว อย่างไรก็ตามการขับขี่ยานพาหนะอย่างรวดเร็ว เป็นสาเหตุของความสูญเสีย โดยเฉพาะการนั่งโดยสารท้ายรถกระบะ ดังเช่นข่าวเหตุการณ์นักศึกษาฝึกงาน กลับจากเลี้ยงส่งฝึกงานวันสุดท้าย ขับรถกระบะด้วยความเร็ว เสียหลักพุ่งชนเสาไฟขอบทาง จนมีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก
ล่าสุดในวงเสวนา “ถอดรหัสโศกนาฎกรรมท้ายกระบะ ทำอย่างไรไม่ซ้ำรอยเดิม” จัดโดย เครือข่ายพัฒนาคุณภาพชีวิต ร่วมกับศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยบนท้องถนน (ศวปถ.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้หารือร่วมกันเพื่อหาทางออกให้กับปัญหาดังกล่าว
“นพ.ธนพงษ์ จินวงษ์” ผู้จัดการศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน ได้วิเคราะห์ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า หากตรวจสอบจากคลิปวิดีโอที่เผยแพร่กันจะพบว่า รถกระบะวิ่งมาด้วยความเร็วสูงน่าจะเกือบ 120 กม./ชั่วโมง แถมยังแซงในระยะกระชั้นชิด ทำให้แรงเหวี่ยงคนที่อยู่ท้าย มีความแรงเท่ากับตกตึก 19 ชั้น จนเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตจำนวนมาก
โดยมีงานวิจัยที่ระบุถึงอัตราความเร็ว ที่ทำให้เกิดแรงเหวี่ยง เปรียบเทียบกับการตกตึก พบว่า
- การถูกปะทะด้วยความเร็ว 60 กม.ต่อชั่วโมง เท่ากับตกตึก 5 ชั้น
- การถูกปะทะด้วยความเร็ว 80 กม.ต่อชั่วโมง เท่ากับตกตึก 8 ชั้น
- การถูกปะทะด้วยความเร็ว 100 กม.ต่อชั่วโมง เท่ากับตกตึก 13 ชั้น
- การถูกปะทะด้วยความเร็ว 120 กม.ต่อชั่วโมง เท่ากับตกตึก 19 ชั้น
- ขณะที่การขับรถด้วยความเร็ว 48 กม./ชั่วโมง หากชนคนเดินเท้าจะมีโอกาสเสียชีวิต 20 %
- หากขับด้วยความเร็ว 64 กม./ชั่วโมง จะทำให้คนเดินเท้ามีโอกาสเสียชีวิตสูงถึง 90 %
นพ.ธนะพงษ์ บอกอีกว่า จากการศึกษาของศูนย์วิจัยอุบัติเหตุฯ โดยสอบถามผู้ที่นั่งท้ายกระบะจำนวน 200 คน ในเขต กทม.และปริมณฑล ถึงความเสี่ยงในการนั่งท้ายกระบะ พบว่า 50% หรือครึ่งหนึ่ง “รู้ว่าอันตรายแต่ไม่มีทางเลือก” ขณะที่เกือบ 1 ใน 3 หรือ 30% เห็นว่า “ไม่เสี่ยงและไม่ได้อันตราย มากกว่าการนั่งในตำแหน่งอื่น”
นอกจากนี้ ศูนย์วิจัยอุบัติเหตุฯ ยังได้จำลองให้เห็นโอกาสพลิกคว่ำ โดยเปรียบเทียบรถกระบะที่ไม่บรรทุกคน น้ำหนัก 1.5 ตัน จะมีความเสี่ยงในการพลิกคว่ำ 12% แต่ถ้าบรรทุกคน 10 คน หนักคนละ 60 กก. เสี่ยงต่อการพลิกคว่ำ 28% หรือเพิ่มขึ้น 2 เท่า และถ้าคนในท้ายกระบะยืนขึ้น จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการพลิกคว่ำขึ้นไปอีก 4 เท่า เมื่อเทียบกับไม่มีการบรรทุกคน
“สอดคล้องกับผลการศึกษาในสหรัฐฯ ยืนยันความเสี่ยงที่ผู้โดยสารนั่งกระบะหลังจะเสียชีวิตมีมากกว่าผู้โดยสารตอนหน้า ที่คาดเข็มขัดนิรภัยถึง 8 เท่า กรณีที่เกิดขึ้นล่าสุด พบว่ามีความเสี่ยง ได้แก่ ดื่ม/เมาขับ ขับเร็ว คึกคะนอง และบรรทุกท้ายกระบะจำนวนมาก”
สำหรับทางออกของปัญหาเรื่องนี้ คือ
- รณรงค์ห้ามนั่งท้ายกระบะกำหนดให้โฆษณารถกระบะ ต้องระบุความเสี่ยงของการนั่งท้ายกระบะ
- การนั่งใน space cab ต้องติดตั้งโครงยึดเกาะในกลุ่มที่จำเป็นต้องใช้
- เข้มงวดให้บรรทุกไม่เกิน 6 คน
- ขับไม่เร็วเกิน 80 กม./ชม.
- หน่วยงานองค์กร โรงงานต่างๆ ต้องมีมาตรการ กำกับดูแลไม่ให้มีการนั่งท้ายกระบะ หรือถ้าจำเป็นควรมีเงื่อนไขด้านความปลอดภัย เช่น มีโครงยึดเกาะ ใช้ความเร็วตามกำหนด รถมีการตรวจสภาพพร้อมใช้ มีประกันภัย ฯลฯ นอกจากนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ต้องมีข้อกำหนดให้ทุกครั้งที่มีงานรื่นเริงและมีการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
- งานรื่นเริงต้องตั้งจุดตรวจป้องปรามเมื่อมีการบรรทุกท้ายกระบะเกิน 6 คน ตั้งจุดตรวจวัดแอลกอฮอล์ และหากเกิดอุบัติเหตุควรมีการเจาะเลือดตรวจวัด ภายใน 1-2 ชั่วโมง
รู้หรือไม่ว่า การขับรถเร็วเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด เป็นสาเหตุอันดับหนึ่งของการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน โดยเฉพาะจาก 2 สาเหตุหลักคือ
1. การเพิ่มความเร็ว
การเพิ่มความเร็ว ต้องเพิ่มระยะหยุดรถ เมื่อเราขับรถเร็วขึ้น 2 เท่า เราจําเป็นต้องใช้ระยะทางในการหยุดรถ เพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่า!!
“การหยุดรถจะใช้ระยะทางมากน้อยขึ้นอยู่กับว่า รถวิ่งมาด้วยความเร็วเท่าใด และคนขับสามารถตอบสนองต่อเหตุการณ์ได้ไวเพียงใด เพราะระยะเวลาเฉลี่ยในการตอบสนองต่อเหตุการณ์ (ตั้งแต่รับรู้เหตุการณ์จนกระทั่งยกเท้าแตะที่เบรก) อยู่ที่ประมาณ 2 วินาทีเท่านั้น”
ตัวอย่างเช่น เมื่อขับรถมาด้วยความเร็ว 60 กม./ชม. และมีความจําเป็นต้องเบรกกระทันหัน ก่อนที่คนขับจะได้แตะเบรก รถยังคงวิ่งต่อไปอีก 34 เมตร (ในช่วงเวลาที่คนขับคิดตอบสนองต่อเหตุการณ์) และใช้ระยะทางอีก 21 เมตร ในการห้ามล้อก่อนที่รถจะหยุด รวมระยะทางที่ใช้ในการหยุดรถทั้งสิ้น 55 เมตร หรือถ้าขับขี่มาด้วยความเร็ว 100 กม./ชม. ต้องใช้ระยะทางทั้งหมดอย่างน้อย 116 เมตร ก่อนที่รถจะหยุดนิ่ง 2 วินาที!!
2. การใช้ความเร็ว
การใช้ความเร็วมีความสัมพันธ์กับโอกาสการเกิดอุบัติเหตุ และความรุนแรงที่เกิดขึ้น
> ยิ่งเร็ว ก็ยิ่งหยุดยาก เมื่อเพิ่มความเร็วจาก 32 กม./ชม. เป็น 112 กม./ชม. หรือ 3.5 เท่า จะต้องใช้ระยะทางในการหยุดรถเพิ่มขึ้นถึง 8 เท่า ดังนั้น ถ้ารถคันหน้าเบรคกระทันหัน คนเดินถนนหรือสัตว์วิ่งตัดหน้ารถ รถที่วิ่งเร็วมากก็เสี่ยงมากต่อการชน
> ยิ่งเร็วยิ่งเจ็บหนัก เมื่อความเร็วมากกว่า 80 กม./ชม.ขึ้นไป ถ้าชนกัน จะมีโอกาสเสียชีวิตมากกว่า การชนกันที่ความเร็ว 40 กม./ชม. ถึง 15 เท่า และความเร็วเพิ่มทุกร้อยละ 10 จะเพิ่มแรงปะทะร้อยละ 21 และเพิ่มความรุนแรงของอุบัติเหตุถึงขั้นเสียชีวิตสูงถึงร้อยละ 46
> ชะตากรรมคนเดินถนนก็ขึ้นกับความเร็ว เมื่อถูกรถชนคนเดินถนนจะมีโอกาสเสียชีวิตเพียงร้อยละ 5 หากถูกชนที่ความเร็ว 32 กม./ชม. แต่จะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 45 หากถูกชนที่ความเร็ว 48 กม./ชม. และจะเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 85 หากถูกชนที่ความเร็ว 64 กม./ชม.
สาเหตุของการขับขี่ยานพาหนะอย่างรวดเร็วนั้น เนื่องมาจากหลายสาเหตุทั้งความเร่งรีบในชีวิตประจำวัน จนต้องเพิ่มความเร็วในการขับขี่ หรือมาจากประสิทธิภาพของยวดยานพาหนะที่ดีขึ้น ผู้ขับขี่หลายคนจึงเผลอเร่งความเร็วมากเกินไป จนสูญเสียการควบคุม กลายเป็นอุบัติเหตุในที่สุด
เรายังมีโอกาสลดความเสี่ยง ในการสูญเสียจากอุบัติเหตุได้อีกมาก หากใช้ความเร็วในการขับขี่อย่างมีสติ สสส. รณรงค์ให้ทุกคนเห็นความสำคัญของการใช้รถใช้ถนนอย่างปลอดภัย เพื่อจะไม่ต้องมีเหยื่อหรือผู้สูญเสียรายต่อไปอีก