“ธรรมชาติบำบัด” ปลดพันธนาการ เยียวยาจิตใจ
ครอบครัวผู้สูญเสียที่ชายแดนใต้
จากปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ4 อำเภอ ของจ.สงขลา คือ สะบ้าย้อย, เทพา, จะนะ และนาทวี ที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่ปี 2547 และยังไม่มีทีท่าจะยุติลงโดยง่าย ทำให้มีเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหัวหน้าครอบครัวได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจากเหตุความรุนแรงต่างๆ เพิ่มขึ้นมาโดยตลอด
ปัญหาการสูญเสียผู้นำครอบครัวได้ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิต ของสมาชิกในครอบครัวของผู้สูญเสีย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นภรรยาและลูก ทั้งการแบกรับภาระทางเศรษฐกิจ และการเลี้ยงดูบุตรหลานตามลำพัง รวมไปถึงสภาวะความทุกข์ยากทางจิตใจจากความเครียด ความวิตกกังวล ในปัญหาต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตแม้ว่าภาครัฐจะให้ความช่วยเหลือเยียวยาด้านปัจจัยการดำรงชีวิต แต่ก็ยังมีปัญหามากมายทั้งความไม่เสมอภาคในการเข้าถึงสวัสดิการ และการขาดการเยียวยาด้านจิตใจ”โครงการสนับสนุนเครือข่ายครอบครัวเจ้าหน้าที่ของรัฐ ผู้ได้รับผลกระทบจากความไม่สงบ 3 จังหวัดชายภาคใต้ให้พึ่งตนเองได้” จึงเกิดขึ้นมาเพื่อสนับสนุนครอบครัวผู้สูญเสียให้สามารถเข้าถึงสวัสดิการของรัฐ และฟื้นฟูสภาพจิตใจให้พวกเขากลับมาใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างมีคุณค่าและมีความสุข โดยได้รับการสนับสนุนจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส.
อาจารย์เอกจิตรา จันทร์จิตจริงใจ หัวหน้าโครงการสนับสนุนเครือข่ายครอบครัวเจ้าหน้าที่ของรัฐ เป็นอีกคนหนึ่งในผู้ที่ได้รับผลกระทบจากความไม่สงบที่เกิดขึ้น โดยในปี 2549 สามีเธอถูกยิงบาดเจ็บสาหัสต้องรักษาตัวนานกว่า 3 เดือน และต้องเจอกับปัญหาในการเข้าถึงสวัสดิการต่างๆจากรัฐแม้ว่าเธอจะรับราชการและมีตำแหน่งเป็นถึงผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านสุเหร่า อ.จะนะ จ.สงขลา ก็ยังมีความยุ่งยากในการเข้าถึง ทำให้เข้าใจสภาพจิตใจรวมไปถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับครอบครัวของผู้สูญเสียรายอื่นๆ ได้เป็นอย่างดี เธอจึงดำเนินงานโครงการนี้เพื่อช่วยเหลือกลุ่มผู้สูญเสียให้เข้าถึงสวัสดิการ รวมไปถึงดูแลปัญหาสภาพจิตใจที่ให้สามารถดำรงชีวิตต่อไปในสังคมได้อย่างเข้มแข็ง
“ปัจจุบันเราเข้าไปดูแลครอบครัวผู้สูญเสียจำนวน 20 ครอบครัว จาก อ.จะนะ เทพา นาทวี และสะบ้าย้อย โดยในช่วงแรกของการทำงานจะเน้นไปที่การดูแลสภาพจิตใจ โดยเชิญจิตแพทย์มาให้คำปรึกษา และพาสมาชิกผ่านกระบวนการเยียวยาด้านจิตใจทั้งศิลปะบำบัด และดนตรีบำบัด ซึ่งหลายๆ คน หลังจากที่ได้เจอกันครั้งแรก มีอาการนอนไม่หลับมาหลายเดือน บ้างก็หวาดผวาเหมือนกับเป็นโรคจิต บ้างก็เครียดจนเป็นลมชัก พอเราได้มาเจอมาพบปะพูดคุยให้กำลังใจซึ่งกัน สร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้สูญเสียด้วยกัน ทำให้เขารู้สึกว่าก็มีคนที่ดูแลห่วงใยเขาอยู่ ทำให้สภาพจิตใจของเขาก็ดีขึ้นเรื่อยๆ” อาจารย์เอกจิตราระบุ
โดยหนึ่งในกิจกรรมที่ทางโครงการ จัดขึ้นโดยร่วมกับ “ศูนย์การเรียนรู้ธรรมชาติเพื่อวิถีชุมชน” คือกิจกรรม “ธรรมชาติบำบัด : กินให้น้อยให้เป็น ชนะทุกโรค” เพื่อสนับสนุนครอบครัวผู้สูญเสียให้เกิดความรู้ในการพึ่งพาและบำบัดโรคด้วยตนเองโดยวิถีธรรมชาติ เพื่อลดทุกข์สร้างสุขเพิ่มพลังจิตใจให้เข้มแข็ง
กิติภพ สุทธิสว่าง วิทยากรและผู้ประสานงานศูนย์การเรียนรู้วิถีธรรมชาติเพื่อชุมชน กล่าวถึงกิจกรรมธรรมชาติบำบัดว่า จัดขึ้นเพื่อปรับเปลี่ยนแนวคิดของครอบครัวผู้สูญเสียโดยเฉพาะในเรื่อง ของการดูแลรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ของตนเองและสมาชิกในครอบครัวโดยให้ความสำคัญต่อการดูแลและพึ่งพาฐานทรัพยากรธรรมชาติในท้องถิ่น ซึ่งเกิดผลดี 2 ด้าน ทั้งในเรื่องของสุขภาพและเศรษฐกิจทว่าสิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือเมื่อทุกคนได้มากิจกรรมร่วมกันบ่อยๆ ก็จะเกิดการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ แลกเปลี่ยนความทุกข์ซึ่งกันและกัน ซึ่งจะเป็นการช่วยกันแบ่งเบาปัญหาเพราะธรรมชาติบำบัด ไม่ได้มีการแบ่งเชื้อชาติ ศาสนา เนื่องจากสอดคล้องกับหลักปฏิบัติทางศาสนาทั้งพุทธและมุสลิม
ซึ่งล้วนแล้วแต่นำไปสู่การมีคุณภาพชีวิตที่ดี”ถ้าเป็นไข้หวัด โดยปกติก็จะนึกถึงแต่ยาพารา เราลองปรับแนวคิดใหม่ ถ้าเป็นไข้หยุดกิน แค่จิบน้ำจนไข้ลด ดื่มน้ำมะพร้าวและทานผลไม้เท่านี้ก็หาย ไม่ต้องไปซื้อยา เพราะหลักธรรมชาติบำบัดถ้าเป็นไข้แสดงว่าร่างกายต้องการพัก และกำลังเยียวยาตัวเองอยู่ หรือหากท้องเสีย หมายถึงร่างกายกำลังขับพิษ เพราะได้รับสิ่งไม่ได้ดีเข้าไป เราก็ปล่อยให้ถ่ายไปแต่ถ้าเกิน 7 ครั้ง ก็ให้กินน้ำผึ้งรวงสัก 1-2 ช้อน อาการท้องเสียก็จะหยุด เสร็จแล้วก็ค่อยกินน้ำมะพร้าวก็จะช่วยบรรเทาการได้” กิติภพเผย
พรชนก พรหมช่วย หนึ่งในสมาชิกเครือข่ายครอบครัวเจ้าหน้าที่รัฐผู้สูญเสีย เล่าย้อนไปถึงสภาพจิตใจของตนเองภายหลังจากสามีที่รับราชการเป็นตำรวจเสียชีวิตจากเหตุการณ์ความไม่สงบในปี 2549 ว่าต้องใช้เวลานานกว่า 7 เดือนกว่า ที่จะเริ่มทำใจได้ และตลอดเวลายังต้องเผชิญกับปัญ หา ทั้งทางด้านจิตใจ ชีวิตจะมีแต่คำถามว่า ทำไมเราต้องเป็นแบบนี้ ทำไมต้องเจอเหตุการณ์แบบนี้และแรงกดดันสังคมโดยรอบที่มองว่า เป็นแม่ม่ายเมียตำรวจ ต้องได้เงินเยอะไม่กี่วัน ก็ได้สามีใหม่ ยิ่งทำให้ร้องไห้แทบทุกวัน
“ได้มาเข้าโครงการในปี 2551 หลังจากนั้นก็มาร่วมกิจกรรมแทบทุกครั้ง แต่ละครั้งจะได้ความรู้สึกดีๆ ที่ไม่สามารถไปหาจากที่ไหน มีเงินก็ซื้อไม่ได้เพราะว่าทุกคนจะมีความรู้สึกเดียวกันคือเหมือนขาดที่พึ่งขาดความอบอุ่น ซึ่งญาติพี่น้องก็ให้เราไม่ได้ เพราะเขาไม่รู้สึกถึงความสูญเสียเหมือนอย่างคนที่มีปัญหาเหมือนกันและการไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบซึ่งกันและกันก็ทำให้เราเห็นว่าคนอื่นมีทุกข์มากกว่าเรา ทำให้มีแรงกระตุ้นให้ต่อสู้ชีวิตและต้องทำงานต่อไปเพื่อลูก ก็เลยรู้สึกว่าอบอุ่นใจ ได้ความรู้สึกที่ดี ได้กลุ่มเพื่อนผู้สูญเสียที่ช่วยกันดูแลซึ่งกันและกัน และจากการเข้าร่วมกิจกรรมธรรมชาติบำบัด ทำให้เราเห็นคุณค่าของธรรมชาติ และสิ่งที่อยู่รอบตัวว่าเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพและร่างกายของตัวเราโดยจะนำแนวคิดในการใช้ชีวิตแบบพอเพียง โดยพึ่งพาธรรมชาติไปปรับใช้กับชีวิตตนเอง” พรชนก กล่าว
ปัจจุบันสิ่งที่ภาครัฐให้สวัสดิการกับครอบครัวผู้สูญเสีย ที่เป็นข้าราชการ จะให้แต่ในเรื่องที่เป็นปัจจัยในการดำรงชีพ ซึ่งไม่ได้กินความไปถึงคำว่าสุขภาวะทั้งหมด เพราะว่าความทุกข์ของครอบครัวผู้สูญเสียเหล่านั้นยังมีอีกมากมาย โดยเฉพาะความทุกข์ในใจที่ยังไม่ได้รับการเยียวยาและแก้ไข
วันชัย บุญประชา ผู้จัดการแผนงานสุขภาวะครอบครัว สสส. เล่าว่า จากการลงพื้นที่พบว่าครอบครัวผู้สูญเสียส่วนใหญ่ยังคงเศร้าโศกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทุกครั้งที่พูดถึงก็ยังร้องไห้ แสดงให้เห็นว่าสิ่งที่เขาได้รับจากภาครัฐนั้นยังไม่เพียงพอ ทาง สสส.จึงเข้าไปสนับสนุนเพิ่มเติมไปจากสิ่งที่รัฐให้มา
โดยเฉพาะการดูแลในเรื่องของจิตใจ ซึ่งมีความสำคัญ ไม่น้อยกว่าเรื่องปัจจัยการดำรงชีพ”สิ่งที่เราทำคือ ต้องการผลักดันให้เขาเป็นกลุ่ม และเครือข่ายที่คอยช่วยเหลือเยียวยาและแบ่งปันซึ่งกันและกัน เป็นโครงการนำร่องให้หน่วยงานราชการ ที่เกี่ยวข้องนำองค์ความรู้และแนวทางการทำงานไปขยายผลในพื้นที่อื่นๆ เพื่อเยียวยาครอบครัวผู้สูญเสีย ไม่เพียงแต่ครอบครัวของเจ้าหน้าที่รัฐเท่านั้นแต่รวมไปถึงครอบครัวของประชาชนที่สูญเสียด้วย “บางคนสามีตายมา 2-4 ปี ไม่เคยได้รับการช่วยเหลือ ลูกก็ต้องพักการเรียน ภรรยาก็ไม่มีอาชีพแล้วครอบครัวของเขาจะอยู่ได้อย่างไร บางคนที่ไม่มีความรู้ก็ยิ่งลำบากเข้าไปใหญ่ เหตุการณ์ความไม่สงบก็ยังมีอยู่เรื่อยๆ แล้วก็จะมีกรณีแบบนี้เกิดขึ้นอีกเท่าไหร่”
วันชัยเล่าปิดท้ายว่า ในปัจจุบันหลังจากที่ได้ดำเนินโครงการมาได้ 2 ปี ทำให้เกิดการขยายผลการทำงาน โดยมีครอบครัวเจ้าหน้าที่รัฐหลายคน ที่ก้าวพ้นออกมาจากความทุกข์ แล้วมาช่วยคนอื่นๆ ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์โดยไม่จำกัดว่าเป็นครอบครัวข้าราชการเท่านั้น และตั้งเป้าไว้ว่าจะขยายผลของกลุ่มเครือข่ายออกไปทุกอำเภอ เพื่อให้องค์ความรู้ด้านการดูแลสนับสนุนช่วย เหลือผู้สูญเสียลงไปสู่ชุมชนได้มากขึ้นการเยียวยาจิตใจ คือกุญแจสำคัญ ที่ช่วยให้ครอบครัวผู้สูญเสีย หลุดพ้นจากบ่วงทุกข์ที่ พันธนาการจิตใจ…เชื่อว่าอีกไม่นานเกินรอ ฟ้ายามเช้าของพวกเขาและเธอจะสดใสมากกว่าที่เคยเป็น
ที่มา: หนังสือพิมพ์แนวหน้า
update: 16-12-52
อัพเดทเนื้อหาโดย: ภราดร เดชสาร