ทำไมต้องจ่ายยา “แพง” เกินจริง
เหตุจากการส่งเสริมการขาย
เมื่อ“ยา”ไม่ได้แพงด้วยตัวมันเองแต่ราคาที่แพงส่วนใหญ่มาจากการส่งเสริมการขาย ทำให้ยามีราคาแพงขึ้นหลายเท่าตัว
ในการประชุมสัมมนาวิชาการ เรื่อง “กฎหมายควบคุมการส่งเสริมการขายยาในต่างประเทศและแนวทางการจัดกฎหมายควบคุมส่งเสริมการขายยาของประเทศไทย” เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยแผนงานสร้างกลไกเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา (กพย.) ร่วมกับศูนย์กฎหมาย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส.
โดย นพ.มงคล ณ สงขลา ปาฐกถาในหัวข้อดังกล่าวไว้อย่างน่าสนใจดังนี้ จากรายงานของ Economic Review พบว่า CEO บริษัทยาขนาดใหญ่ได้รับค่าตอบแทนยังไม่รวมโบนัสร้อยล้านดอลลาร์ เช่นเดียวกับประเทศไทยที่ผู้อำนวยการหรือบุคลากรทางการแพทย์บางคนไปต่างประเทศทุกเดือน ตรงนี้เป็นภาพความเป็นจริงที่การเพิ่มราคายาเกิดจากการมีค่าใช้จ่าย
แม้ว่าระบบการจัดการค่าใช้จ่ายสุขภาพ เราจะมี สปสช.ที่เข้มแข็ง แต่กระบวนการหรือกลไกต่างๆ ที่มีอยู่ยังไม่สามารถทำให้การซื้อยาอยู่ในราคาที่เหมาะสม ไม่มีการขูดรีดจากผู้ขายและผู้ซื้อ ก่อนที่จะเป็นราคายาที่กำหนดในงบประมาณ
คำถามที่ตามมาคือ จะทำอย่างไรให้เกิดธรรมาภิบาลเพื่อป้องกันการผันเงินไปสู่การจัดเลี้ยง ทัศนาจร หรือใช้ประโยชน์ในทางที่ไม่เป็นประโยชน์กับคนไข้ ผมมองว่า การดูแลระบบการซื้อการจ่าย และการใช้ยาอาจมีกระบวนการที่ติดตามดูแลได้ ซึ่งในส่วนที่เฝ้าระวัง พบว่า ในประเทศเกาหลีใต้ได้มีคณะคอยติดตามพฤติกรรม เจาะลึกในกลุ่มคนบางกลุ่ม หากสร้างกลุ่มคนแบบนี้มีขึ้นมาได้ มีระบบข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์เพื่อนำสู่การเปิดเผย สิ่งเหล่านี้น่าจะเป็นการป้องปรามที่ดี
การใช้ตัวบทกฎหมายเพื่อให้ผู้บริโภคที่ไม่ต้องจ่ายยาแพงเกินจริงเป็นสิ่งที่จำเป็น หากเราสามารถลดการส่งเสริมการขายยาที่เป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่ควรส่งเสริมแล้ว ราคายาก็ควรจะถูกลงเพื่อไม่ให้บริษัทยาได้รับกำไรมากเกินไป รวมถึงการมีองค์กรอิสระเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบแฃะเปิดเผยข้อมูลที่ไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนบุคคล จะทำให้ข้อมูลเข้าไปตรวจสอบได้มากขึ้น
สำหรับผลการศึกษากฎหมายควบคุมการส่งเสริมการขายยาใน 3 ประเทศ ประกอบด้วย สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรปและเกาหลีใต้ ซึ่งมุ่งศึกษาไปที่กลุ่มแพทย์และเภสัชกรในสถานพยาบาล พบว่า
ในประเทสฝรั่งเศส (โดย รศ.ดร.ดาราพร ถิระวัฒน์) การส่งเสริมการขายยาถูกจัดรวมอยู่ในการโฆษณาด้วย การบริโภคยาในประเทศฝรั่งเศส มีระบบสวัสดิการสังคมที่รัฐเข้ามาควบคุมกำกับการใช้ยาผ่านงบประมาณ ประชาชนฝรั่งเศสจะได้รับการเบิกจ่ายเงินคืนจากยาที่เขาบริโภค ต้องเป็นยาที่ถูกสั่งโดยแพทย์ ยาที่ถูกนำเสนอสู่ผู้บริโภคต้องถูกควบคุมโดยรายงานการใช้ยาก่อนที่ยาจะถูกเสนอจากบริษัทยาและสู่แพทย์ต่อไป
ขณะที่สหรัฐอเมริกา วิธีการส่งเสริมการขายของบริษัทยา เริ่มตั้งแต่การใช้ผลิตภัณฑ์ การสนับสนุนทางการเมืองการให้หุ้นในบริษัท ส่งผลให้ผู้บริโภคต้องซื้อยาในราคาแพงขึ้นซึ่งมาจากการผลักภาระเรื่องต้นทุนการสนับสนุนบุคลากรทางการแพทย์ มาสู่ราคายาของบริษัท จึงเป็นที่มาของการออกกฎหมาย Physician Sunshine act เพื่อเปิดเผยข้อมูลเรื่องนี้ให้สาธารณชนรับทราบ โดยในเบื้องต้นจะไม่ห้ามการสนับสนุนของบริษัทยา แต่ต้องมีหลักการ คือ ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนและต้องไม่กระทบต่อ autonomy ของผู้สั่งจ่ายยา โดยได้บรรจุประเด็นนี้ไว้ในกฎหมายแรงงาน
และเกาหลี (โดนไพศาล ลิ้มสถิตย์) พบว่า ในมุมมองของเกาหลีใต้ให้ความสนใจด้านธรรมาภิบาลอย่างมาก โดยได้ผ่านกฎหมายต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น ที่ห้ามรับผลประโยชน์กับบริษัทยา ของขวัญ ฯลฯ และจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายอาญา นอกจากนี้ยังมีหน่วยงานที่ดูแลควบคุมป้องกันการผูกขาดมาบังคัลใช้เรื่องการส่งเสริมการขายยาย ด้วยการออกกฎหมาย MRFTA ตั้งคณะกรรมการแข่งขันทางการค้าของเกาหลีใต้ซึ่งปัจจุบันมีการรายงานผลการตัดสินโทษของคณะกรรมการชุดดังกล่าว เช่น การตัดสินถึงการกระทำที่ไม่เหมาะสมในการสนับสนุนการจัดประชุมโดยบริษัทยา การจ่ายค่าตอบแทนให้แพทย์สูงเกินความจริง การจัดเลี้ยงค่าอาหาร การตกแต่งบัญชีบริษัทยา การกีดกันบริษัทยาในประเทศให้ไม่สามารถเติบโตได้ ซึ่งคณะกรรมการชุดดังกล่าวจะมีความอิสระ ไม่เป็นตัวแทนของหน่วยงานธุรกิจเอกชน ทำให้ตัดสินได้อย่างตรงไปตรงมา
ส่วนประเทศไทย ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษารูปแบบที่เหมาะสมกับบริบทของสังคมไทย โดยเทียบเคียงกับกรณีศึกษาของประเทศต่างๆ เพื่อสรุปและเสนอเป็นร่างกฎหมาย
คงไม่นานเกินรอ ที่ผู้ป่วยไม่ต้องจ่ายยาแพงเกินจริง
สสส.สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ www.thaihealth.or.th สอบถาม 0-2298-0500 ต่อ 1222
ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน
Update: 17-11-52
อัพเดทเนื้อหาโดย: ณัฏฐ์ ตุ้มภู่