ถึงเวลา…ไทยมีกฎหมายรับรองสิทธิขั้นพื้นฐานเพศที่ 3
เพื่อความเสมอภาค
โลกยุคปัจจุบันถือว่ายอมรับความแตกต่างหลากหลายทางเพศได้มากขึ้นกว่าสังคมสมัยก่อน อาจเพราะต้องยอมจำนนว่า คนไม่สามารถเลือกเกิดได้ว่าจะเกิดเป็นหญิง หรือชาย หากแต่ธรรมชาติเป็นผู้กำหนด ที่สำคัญคือ สังคมเปลี่ยนแปลงไปผู้คนมีความเข้าใจมากยิ่งขึ้น
ในงานประชุมประจำปีเพศวิถีศึกษาในสังคมไทย ครั้งที่ 2 เมื่อเร็วๆ นี้ น.ส.วราภรณ์ อินทนนท์ นักศึกษาคณะนิติศาสตร์ สาขากฎหมายระหว่างประเทศมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นอีกผู้หนึ่งที่เห็นว่า “เพศ” นั้นไม่ได้แบ่งเพียงความเป็นหญิงชาย แต่แบ่งเป็นเพศทางสรีระและเพศทางสังคม เพศทางสรีระ ก็คืออวัยวะเพศ โครโมโซมเพศ และฮอร์โมนเพศซึ่งติดตัวมาตั้งแต่เกิด ส่วนเพศทางสังคมคือ สภาวะจิตใจและความเป็นตัวตนที่ถูกสังคมหล่อหลอมในภายหลัง และเพศทางสังคมนี้เองที่ทำให้เกิด “ความพึงพอใจทางเพศ” หรือ “รสนิยมทางเพศ” ที่แตกต่างกันเป็นที่มาของการที่ น.ส.วราภรณ์ ได้นำเสนอยกร่าง “ร่างพระราชบัญญัติการรับรองสิทธิและสถานะของบุคคลผู้มีความหลากหลายทางเพศ” ขึ้น ซึ่งมีหัวใจสำคัญคือ การกำหนดนิยามของความหลากหลายทางเพศ การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ การรับรองสถานะของบุคคลผู้แปลงเพศ การรับรองการจัดตั้งครอบครัวของบุคคลเพศเดียวกัน สิทธิในการมีบุตรและการรับบุตรบุญธรรมและการห้ามเลือกปฏิบัติต่อบุคคลด้วยเหตุในความแตกต่างทางเพศ
น.ส.วราภรณ์ ให้คำนิยามของความหลากหลายทางเพศใน พ.ร.บ.ฉบับนี้ โดยให้รวมบุคคลที่มีเพศวิถีแบบรักร่วมเพศบุคคลที่แปลงเพศ บุคคลที่แต่งกายข้ามเพศ เป็นเพศที่สังคมให้การยอมรับโดยไม่มีการกีดกันหรือเลือกปฏิบัติ ส่วนการรับรองสถานะนั้น บุคคลซึ่งมีสัญชาติไทยที่มีอายุ 20 ปีบริบูรณ์ เมื่อได้ทำการผ่าตัดแปลงเพศจากเพศชายไปเป็นเพศหญิง หรือในกรณีเพศหญิงไปเป็นเพศชาย สามารถยื่นขอแก้ไขเพศในสูติบัตร และคำนำหน้านามบุคคลในข้อมูลทะเบียนราษฎร์ เอกสารทางราชการ เพื่อให้สอดคล้องกับเพศใหม่ของตนได้ เมื่อได้รับการรับรองจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้กับแพทยสภาโดยต้องเก็บเป็นความลับ
นอกจากนี้ ยังสามารถแต่งงานกันได้ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งจะใช้ชีวิตฉันสามีภรรยา เมื่ออายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ ที่สำคัญคือ สิทธิในการรับผลประโยชน์การคุ้มครองมีหน้าที่รับผิดชอบซึ่งกันและกันตามกฎหมายเสมือนคู่สมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัวและมรดกแต่ไม่สามารถทำการผสมเทียมเพื่อการมีบุตรและการรับบุตรบุญธรรมได้ ยกเว้นว่ามีบุตรก่อนหน้านี้แล้ว
น.ส.วราภรณ์ กล่าวถึงการห้ามเลือกปฏิบัติต่อบุคคลด้วยเหตุในความแตกต่างทางเพศ ด้วยเหตุผลทางเพศ และรวมถึงรสนิยมทางเพศที่แตกต่างกันว่า หากกลุ่มคนดังกล่าวได้รับความเสียหายจากการเลือกปฏิบัติดังกล่าว สามารถร้องเรียนกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และมีสิทธิในการเรียกร้องค่าเสียหายในทางแพ่ง เพื่อเยียวยาความเสียหาย
“หากประเทศไทยไม่มีกฎหมายเพื่อการรับรองสิทธิและสถานะของบุคคลผู้มีความหลากหลายทางเพศ ที่ปัจจุบันคนกลุ่มนี้แสดงตัวในสังคมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จึงอาจก่อให้เกิดปัญหาและอุปสรรคในการดำรงชีวิตตามรสนิยมทางเพศของบุคคลดังกล่าวทั้งที่เป็นอุปสรรคอันเกิดจากข้อจำกัดในทางกฎหมาย และอุปสรรคจากทัศนคติของคนในสังคม และนำมาซึ่งการไม่เท่าเทียมกันในโอกาส สิทธิของบุคคลในประเทศที่พึงจะมีอย่างเสมอภาคและเท่าเทียมกัน” น.ส.วราภรณ์ แสดงทรรศนะ
น.ส.วราภรณ์ ยกตัวอย่างปัญหาหากไม่มีกฎหมายเพื่อรับรองสิทธิและสถานะอย่างชัดเจน ทำให้บุคคลดังกล่าวต้องอยู่ภายใต้ข้อกำหนดของกฎหมายที่อาจไม่สอดคล้องต่อการดำรงเพศวิถีของบุคคลดังกล่าว เช่น แปลงเพศแล้วแต่ชื่อนำหน้าเพศยังไม่เปลี่ยน ทำให้ยังขัดแย้งกับเพศในระบบทะเบียนราษฎร์ เกิดปัญหาในการเข้ารับบริการของรัฐ การใช้หนังสือเดินทางและการดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมทางอาญา เป็นต้น
จากปัญหาที่เกิดขึ้นเหล่านี้ ประกอบกับในประเทศต่างๆ ได้มีการคำนึงถึงการส่งเสริมความเท่าเทียม การคุ้มครองบุคคลที่เป็นผู้มีความหลากหลายทางเพศจากการถูกเลือกปฏิบัติด้วยเหตุของความแตกต่างในรสนิยมทางเพศ จึงถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยควรจะมีกฎหมายเพื่อรับรองและคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานแก่บุคคล โดยคำนึงถึงความหลากหลายทางเพศอย่างชัดเจน ทั้งในระดับกฎหมายระหว่างประเทศ และในระดับกฎหมายภายในของรัฐ ซึ่งในสังคมโลกในระดับสากลให้การรับรองและคุ้มครองสิทธิแก่บุคคลตามเพศวิถีที่มีความหลากหลายแล้ว
น.ส.วราภรณ์ ทิ้งท้ายว่า เวลานี้…สังคมไทยจึงจำเป็นต้องมีการบัญญัติกฎหมายรองรับสิทธิขั้นพื้นฐานของคนที่มีความหลากหลายทางเพศ ไม่ว่าจะเป็น เกย์ทอม ดี้ หรือสาวประเภทสอง เพื่อเยียวยาปัญหาที่เกิดขึ้น และให้คนกลุ่มนี้สามารถดำรงอยู่ในสังคมอย่างเสมอภาคและเท่าเทียม ตามเพศวิถีของตนอย่างมีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์
ที่มา : หนังสือพิมพ์สยามรัฐ
Update 17-12-52
อัพเดทเนื้อหาโดย : อารยา สิงห์สวัสดิ์